การเกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
บรรณานุกรม
การทำโครงงานครั้งนี้เป็นการศึกษาความปลอดภัยเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านซึ่งเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ หลังจากที่ได้รวบรวมและสรุปรายละเอียดของโครงงานคณะผู้จัดทำโครงงานจึงได้สรุปและอภิปรายผลพร้อมทั้งข้อเสนอแนะในการทำโครงงานดังนี้
1.ผลการดำเนินงานการจัดทำโครงงาน
2.วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ
3. สรุปผล
4. ข้อเสนอแนะ
1.ผลการดำเนินงานการจัดทำโครงงาน
สมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 10 คน ได้ประชุมกันเพื่อหาหัวข้อเรื่องที่จะทำโครงงานในกลุ่ม เรื่องที่ได้จากมติในที่ประชุมมากที่สุด คือ ความปลอดภัยเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านซึ่งโครงงานเรื่องนี้ก็ได้ความคิดเห็นจากสมาชิกในกลุ่มว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยในชีวิตประจำวัน สมาชิกในกลุ่มจึงตกลงและแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนในกลุ่มได้ไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหัวข้อย่อยที่ได้รับเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน
2.วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ
2.1 คอมพิวเตอร์
2.2 หนังสือ
3.สรุปผล
การดำเนินงานโครงงานนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้คือ การศึกษาความปอดภัยเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านจนเข้าใจ จึงถือว่าเป็นประโยชน์ที่ทำให้ผู้ที่เข้าใจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
การดำรงชีวิตในปัจจุบันทุกครอบครัวจำเป็นต้องใช้เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เตารีดไฟฟ้า พัดลมไฟฟ้า ซึ่งการใช้เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เหล่านี้ให้ได้ในระยะยาวนั้นจำเป็นต้องรู้จักวิธีการบำรุงรักษาหรือดัดแปลงเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านั้น เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเพื่อให้มีรูปแบบหรือวิธีการใช้ที่แปลกใหม่อีกด้วย ดังนั้นงานช่างจึงเข้ามามีบทบาทในการซ่อมแซมและดัดแปลงเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งงานช่าง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงวัสดุต่างๆ ให้เกิดประโยชน์นำความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติได้จริงจะทำให้เครื่องอำนวยความสะดวกหรือเครื่องใช้ในบ้านมีความคงทนสามารถใช้งานได้นานและทำให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น
4.ข้อเสนอแนะ
ควรมีการจัดทำเนื้อหาโครงงานให้หลากหลายและมีเนื้อหาออกมาหลายๆรูปแบบ
บรรณานุกรม
จันทร์ทิตา พฤกษานานนท์, 2550, อุบัติเหตุในบ้าน, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า141-134
พิสมัย นพรัตน์,2549 ,ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ,วิทยานิพลปริญญาพยาบาลศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์และศัลยศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัย,วิทยาลัยเชียงใหม่.
วันทนีย์ วาสกะสิน, 2552, กฎหมายกับการสร้างบ้าน.กรุงเทพ:โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ชวนชม สกนธนวัฒน์, 2555, สุขภาพและความเป็นอยู่, มหาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพะเยา
สายัณห์ สวัสดิ์ศรี, 2556, ปลอดภัยนะหนู รู้ภัยในบ้าน, ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เว็ปไซต์
http://www.thaigoodview.com, 2550, การบำรุงรักษาเครื่องใช้ภายในบ้าน, 12 มกราคม 2550
www.prc.ac.th/webmalamusnew/newbook.html:อัมพร เบจพลพิทักษ์,2548,ความรุนแรงในบ้าน
http://thai-good-health.blogspot.com, 13 สิงหาคม 2552, การสร้างบ้าน
http://rcharkarn .com, 13 สิงหาคม 2552, บ้านแสนสุข
http://www.snr.ac.th/elearning/kamtorn/section4.2.htm, อันตรายภายในบ้าน
ความหมายและความสำคัญของที่พักอาศัย
การทำโครงงานครั้งนี้เป็นการศึกษาความปลอดภัยเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุในชุมชนซึ่งเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งในสังคมไทยปัจจุบันนี้ โดยคณะผู้จัดทำโครงงานได้ทำการรวบหนังสือหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องและครอบคลุมหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ความหมายและความสำคัญของที่พักอาศัย
2.ความหมายของอุบัติเหตุ
3.ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการอยู่อาศัย
4.ทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุ
5.ประเภทของการเกิดอุบัติเหตุ
6.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเกิดอุบัติเหตุ
7.สาเหตุของการเกิดอุบัติ
8.หลักสำคัญในการสร้างบ้าน
9.การป้องกันอุบัติเหตุ
10.กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้าน
11.กฎหมายคุ้มครองความปลอดภัย
12.หลักการในการสร้างบ้านให้พ้นร้าย 25 ประการ
13.ความหมายและความสำคัญของกระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยในชุมชน
1.ความหมายและความสำคัญของที่พักอาศัย
มนุษย์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีที่อยู่อาศัยเพื่อปกป้องร่างกายจากฝน ลมหรือสัตว์ร้ายต่างๆที่จะมาทำอันตรายต่อมนุษย์เอง ดังนั้นมนุษย์จึงต้องอาศัยในพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
มนุษย์ในยุคแรกๆ นิยมอาศัยอยู่ในถ้ำหรือตามโตรกผาต่างๆเพื่อกันลมและฝนรวมไปถึงสายฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้องอีกด้วย เนื่องจากมนุษย์ในอดีตยังไม่เข้าใจหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หรือเกษตรกรรมจึงไม่รู้จักการสร้างบ้าน (มนุษย์ยุคหลังจากนั้นนิยมสร้างบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่สะอาดและสะดวกสบายกว่าถ้ำ และมักสร้างริมแม่น้ำเพื่อสะดวกในการเพาะปลูก) หรือการปลูกพืช เพียงแค่ล่าสัตว์และเก็บพืชผักสะสมอาหารเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ในช่วงยุคหลังๆมนุษย์เริมเข้าใจในหลักวิทยาศาสตร์เลิกกลัวลมฟ้าอากาศและเริ่มเข้าใจเรื่องระบบนิเวศ การเกษตรและการ ปศุสัตว์จึงเริ่มหันมาปลูกบ้านเป็นที่อยู่ถาวรเลิกเร่ร่อนล่าสัตว์หรือเก็บของป่าแล้วมาเพาะปลูกพืชต่างๆแทน รวมไปถึงเริ่มรู้จักประโยชน์ของแม่น้ำและสร้างบ้านใกล้แหล่งน้ำเพื่อเพาะปลูกและใช้อาบกิน มนุษย์ยุคปัจจุบันไม่ได้สร้างบ้านติดแม่น้ำเพื่อการเกษตรอีกต่อไปแต่ใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยในครอบครัวเป็นแหล่งที่ประกอบอาชีพหรือพักผ่อนหย่อนใจและในปัจจุบันการสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยต่างๆ เพื่อจุดประสงค์เดียวกับในอดีตนั้นหายากขึ้นและแทบไม่ปรากฏในบริเวณตัวเมืองหรือเขตประชากรหนาแน่นเลย
บ้านและความสำคัญของบ้าน
บ้านหรือที่อยู่อาศัย หมายถึง สถานที่ที่บุคคลในครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ที่พักอาศัยนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นมากสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไปและเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้อยู่อาศัย
หลักสำคัญในการสร้างบ้านหรือที่พักอาศัยให้ถูกสุขลักษณะ ควรคำนึงถึง
1.ความต้องการขั้นพื้นฐานทางสรีรวิทยา (Fundamental physiological needs)
หมายถึง การจัดสิ่งแวดล้อมของบ้านที่พักอาศัยให้มีความเหมาะสมกับความต้องการทางด้านสรีรวิทยา เช่น
1.1 การระบายอากาศที่เหมาะสม
1.2 แสงสว่าง
1.3 บริเวณบ้าน หมายถึงพื้นที่นอกเหนือจากการใช้ปลูกสร้างบ้าน
1.4 การป้องกันเหตุรำคาญต่างๆ บ้านที่พักอาศัยจะต้องปราศจากเหตุรำคาญต่างๆ
2.ต้องการพื้นฐานทางจิตวิทยา (Fundamental Psychological Needs)
หมายถึง การจัดสิ่งแวดล้อมต่างๆของบ้านที่พักอาศัยให้ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตหรือความสุขทางใจของผู้อยู่อาศัยได้ด้วยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างน้อยควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
2.1 ความเป็นส่วนตัวขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลซึ่งมีไม่เหมือนกัน
2.2 ความสง่างาม ช่วยให้ผู้อยู่เกิดความภาคภูมิใจและเกิดความสุขทางใจได้
2.3 ชีวิตปกติของครอบครัวและชุมชน
2.4 ความสะอาด ที่พักอาศัยจำเป็นต้องรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ เสมอเพราะจะช่วยส่งเสริมให้เกิดสุขภาพกายสุขภาพจิตแก่ผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างดี
2.5 ความสะดวกสบาย ผู้อยู่อาศัยย่อมต้องการที่จะให้ที่พักอาศัยของตนมีสิ่งอำนวยความ สะดวกสบายมีสาธารณูปโภค
3.การป้องกันหลีกเลี่ยงโรคติดต่อ (Provision Against Communicable Diseases)
บ้านที่พักอาศัยจำเป็นจะต้องจัดสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่างน้อยควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้น้ำดื่มน้ำใช้ (ควรจัดให้มีทั้งคุณภาพและปริมาณ คือ มีความสะอาดได้มาตรฐานของน้ำดื่มมีปริมาณเพียงพอแก่การใช้ภายในครอบครัว) การกำจัดสิ่งขับถ่ายของเสีย (มีส้วมที่ถูกสุขลักษณะใช้ประจำครัวเรือนให้เพียงพอกับจำนวนสมาชิก เช่น ครอบครัว 5-6 คน ต้องมีส้วมอย่างน้อย 1 ที่) การกำจัดขยะ (ขยะที่เกิดขึ้นจากครัวเรือนต้องได้รับการเก็บรวบรวมไว้ในถังขยะที่ถูกหลักสุขาภิบาลและให้พ้นจากการรบกวนของแมลง สัตว์เลี้ยงรวมทั้งไม่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ) การเก็บรักษาอาหาร (ที่พักอาศัยต้องมีการจัดเก็บอาหาร ภาชนะ บรรจุอาหารไว้ในที่ปลอดภัยปราศจากการปนเปื้อนหรือสัมผัสกับสิ่งสกปรกต่างๆ) ห้องนอนควรมีพื้นที่เพียงพอ
4.การป้องกันอุบัติเหตุ (Provision Against Accidents)
อุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหมายอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆภายในบ้านซึ่งสิ่งที่ควรพิจารณาจัดทำคือ
4.1 ทำเลที่ตั้ง
4.2 วัสดุและการก่อสร้าง
4.3 การป้องกันอัคคีภัย
4.4 ความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้าน
2.ความหมายของอุบัติเหตุ
การเกิดอุบัติเหตุในการทำงานแต่ละครั้งมิใช่จะเกิดขึ้นจากโชคชะตาหรือเคราะห์กรรมของแต่ละบุคคล หากแต่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุที่ชี้ชัดลงไปได้ การเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงานจะเกิดขึ้นโดยการแก้ไขป้องกันที่สาเหตุของอุบัติเหตุได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
คำว่า “อุบัติเหตุ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้คำนิยามไว้ว่า อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันคิด ความบังเอิญ
อุบัติเหตุ (Accident) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้าซึ่งก่อให้เกิดความบาดเจ็บ พิการ หรือตายและทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย ความหมายในเชิงวิศวกรรมความปลอดภัย นอกจากความหมายข้างต้นแล้ว “อุบัติเหตุ” ยังมีความหมายครอบคลุมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบกระเทือนต่อขบวนการผลิตปกติทำให้เกิดความล่าช้า หยุดชะงักหรือเสียเวลาแม้จะไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บพิการก็ตาม”
อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ใดก็ตามที่เกิดขึ้นมิได้ตั้งใจหรือมิได้คาดคิดมาก่อนและเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายหรือทรัพย์สินของคนเรา
อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและเหตุการณ์นั้นต้องทำให้คนอื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บ หรือทรัพย์สินเสียหาย
อุบัติเหตุ (Incidence) คือ เหตุการณ์ซึ่งเกิด (อุบัติ) ขึ้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ดีหรือเหตุการณ์ร้ายก็ได้ ส่วนอุบัติภัย (Accident) คือเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันมาก่อน โดยไม่เจตนาเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจและอาจทำให้สูญเสียชีวิตได้ด้วย การใช้คำ“อุบัติเหตุ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Accidents ที่แล้วๆ มาจึงไม่ตรงกับศัพท์ที่ถูกต้อง แต่ก็ได้ใช้กันมานานจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้ว
อุบัติเหตุ (Incidence) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายหรือเหตุการณ์ดีก็ได้ แต่ถ้าเป็นอุบัติเหตุแล้วมักจะนึกถึงแต่เหตุร้ายไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องดีจึงตรงกับคำว่า Accidents ซึ่งนิยมใช้กันมาจนเป็นที่ยอมรับแล้ว ส่วนอุบัติภัย (Accident) คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่คาดฝันมาก่อนเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกายและจิตใจรวมทั้งอาจเป็นอันตราย ถึงแก่เสียชีวิตได้ทั้งกับตนเองและผู้อื่น
อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุการณ์หรืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดหรือตั้งใจมาก่อนซึ่งมีผลให้บุคคลได้รับบาดเจ็บ อันตราย ตายหรือสูญเสียทรัพย์สิน ส่วนคำว่า “อุบัติภัย” ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้กันอย่างกว้างขว้างนั้นมีความหมายว่า “อันตรายหรือภัยที่อาจเกิดขึ้นแก่ร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล” คำว่า “อุบัติเหตุ” หรือ “อุบัติภัย” จึงมีความหมายคล้ายกัน
สรุป ได้ว่า อุบัติเหตุ (Accident) หมายถึง เหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจหรือคาดคิดมาก่อนทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน บุคคลได้รับอันตรายทั้งร่างกายและจิตใจอาจบาดเจ็บ พิการหรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
คำจำกัดความ
ก่อนที่จะได้ศึกษาถึงสาเหตุของอุบัติเหตุและการป้องกันต่อไป สมควรที่จะได้ทราบคำจำกัดความของคำต่างๆที่เกี่ยวข้องกันดังนี้
ภัย (Hazard) เป็นสภาพการณ์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อบุคคลหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือวัสดุหรือกระทบกระเทือนต่อขีดความสามารถในการปฏิบัติการปกติของบุคคล
อันตราย (Danger) หมายถึง ระดับความรุนแรงที่เป็นผลเนื่องมาจากภัย (Hazard) อันตรายจากภัยอาจจะมีระดับสูงหรือมากน้อยก็ได้ขึ้นอยู่กับมาตรการในการป้องกัน เช่น การทำงานบนที่สูงสภาพการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นภัย (Hazard) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บถึงตายได้หากมีการพลัดตกลงมาในกรณีนี้ถือได้ว่ามีอันตรายอยู่ระดับหนึ่ง หากแต่ละระดับอันตรายจะลดน้อยลงถ้าผู้ปฏิบัติงานใช้สายนิรภัย (Harness) ขณะทำงานเพราะโอกาสของการพลัดตกและก่อให้เกิดความบาดเจ็บลดน้อยลง
ความเสียหาย (Damage) เป็นความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือความสูญเสียทางด้านกายภาพ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อการปฏิบัติงาน หรือความเสียหายทางด้านการเงินที่เกิดขึ้น เนื่องจากการขาดการควบคุมภัย
ความปลอดภัย (Safety) โดยปกติทั่วๆไป หมายถึง “การปราศจากภัย” ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ที่จะขจัดภัยทุกชนิดให้หมดไปโดยสิ้นเชิง ความปลอดภัยจึงให้รวมถึงการปราศจากอันตรายที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นด้วย
3.ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการอยู่อาศัย
การตั้งถิ่นฐานเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบๆตัว จึงเกิดการรวมกลุ่มเพื่อตั้งบ้านเรือนและจัดการกับสิ่งรอบตัวให้เหมาะกับการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานนั้นๆดังนี้
ก.ปัจจัยทางกายภาพ
1.โครงสร้างและระดับความสูงของพื้นที่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเขตที่ราบมีความเหมาะสมที่จะตั้งถิ่นฐานมากกว่าเขตที่สูงหรือภูเขา เนื่องจากลักษณะพื้นที่กว้างขวางราบเรียบทำให้สามารถเพาะปลูกได้สะดวกและเขตที่ราบมักจะมีดินอุดมสมบูรณ์สามารถปลูกพืชได้หลายชนิดมากกว่า สำหรับพื้นที่สูงหรือทุรกันดารซึ่งเข้าถึงลำบากนั้นมีเหตุจูงใจให้มนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้าง เช่น เพื่อความปลอดภัยจากการรุกรานหรือหากจำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานตามภูเขาก็มักจะเลือกอยู่อาศัยในลาดเขาด้านที่เหมาะสม
2.อากาศ อากาศมีผลโดยตรงต่อมนุษย์เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการกำหนดลักษณะดินและพืช สภาพของดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานมีอิทธิพลต่อการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและวิถีการดำรงชีวิตจากแผนที่แสดงการกระจายตัวประชากรจะเห็นได้ว่า ประชาชนจะอยู่กันหนาแน่นในเขตที่มีอากาศเหมาะสม ส่วนบริเวณที่มีอากาศปรวนแปรจะมีประชาชนเบาบางหรือปราศจากผู้อยู่อาศัย นอกจากอุณหภูมิแล้วความชื้นของอากาศก็มีความสำคัญในแถบศูนย์สูตรที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นจะทำให้เหนื่อยง่าย มีเหงื่อมาก ไม่สบายตัว ในเขตอากาศเย็นกว่าแถบละติจูดกลางอุณหภูมิเย็นพอเหมาะทำให้การตั้งถิ่นฐานหนาแน่น
3.น้ำ ปัจจัยในเรื่องน้ำมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานมากโดยเฉพาะในสมัยโบราณการตั้งถิ่นฐานทุกแห่งเป็นการหาพื้นที่ที่จะทำการเกษตรด้วย น้ำที่ใช้ในการทำเกษตรกรรมไม่จำเป็นต้องมาจากฝนหรือแหล่งน้ำลำธารแต่เพียงอย่างเดียว ในบางแห่งที่ขาดฝนอาจหาแหล่งน้ำอื่นๆมาใช้เพื่อการเกษตร เช่น น้ำบาดาล
ปัจจุบันมนุษย์สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำไปได้มาก เช่น การจัดการระบายน้ำของชาวดัตช์ ทำให้สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในที่ลุ่มต่ำกว่าระดับน้ำทะเลได้ สำหรับในประเทศไทยสามารถเพิ่มเนื้อที่เพาะปลูกริมทะเลด้วยการถมทะเลหรือโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตามภาคต่างๆสิ่งเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงพื้นที่ชนบทให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างกว้างขวาง
ข.ปัจจัยทางวัฒนธรรม
การที่มนุษย์ครอบครองพื้นที่เพื่อตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน ณ ที่ใดที่หนึ่งย่อมมีอิทธิพลต่อสภาพธรรมชาติ รวมทั้งเกิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในถิ่นฐานเดียวกันและระหว่างถิ่นฐานต่างๆ
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไปในถิ่นฐานแต่ละแห่งสามารถจำแนกได้เป็น
1.ภาษา โดยเฉพาะภาษาพูดถือว่าเป็นตัวแทนของลักษณะวัฒนธรรม ภาษาเป็นสื่อสำคัญที่สืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อๆไป กลุ่มวัฒนธรรมต่างๆ มักมีภาษาของตนเอง จึงใช้ภาษาเป็นเครื่องวัดความแตกต่างของวัฒนธรรมได้ ภาษาจึงอาจเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การห้ามใช้ภาษาต่างประเทศเป็นวิธีที่จะให้ประชาชนหันมาสนใจและรักประเทศของตน ภูมิใจในชาติของตน รวมทั้งรักเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนยิ่งขึ้น
2.ศาสนา ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม ความเชื่อถือยึดมั่นและการปฏิบัติตามหลักของศาสนาเป็นหลักที่กำหนดวิถีชีวิตในท้องถิ่น สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอาจทำให้ท้องถิ่นหนึ่งมีความสำคัญมากกว่าท้องถิ่นอื่น วัด โบสถ์และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทางศาสนาจะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของชาตินั้นๆ ศาสนาอาจมีอิทธิพลต่อการเกษตรกรรม การบริโภคอาหาร ตลอดจนด้านเศรษฐกิจ
3.การเมือง อิทธิพลทางการเมืองมีผลต่อพื้นที่ตั้งถิ่นฐานโดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินทำกิน เช่น กฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กฎหมายเกี่ยวกับการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พระราชกำหนดยกเลิกสัมปทานป่าไม้ เป็นต้น
ค.ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
การประกอบอาชีพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสภาพแวดล้อมและระดับความเจริญทางเทคโนโลยี ตัวอย่างของวิวัฒนาการการประกอบอาชีพที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ได้แก่
1.การเพาะปลูก การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แบบถาวรเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักเพาะปลูกด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งผลิตผลตามธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียวและการตั้งถิ่นฐานแบบถาวรนี้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมมาก ตัวอย่างเช่น การทำไร่เลื่อนลอยเป็นการเพาะปลูกแบบไม่บำรุงดิน เมื่อดำเนินไปหลายปีจะทำให้ดินเสื่อมสภาพลงและต้องย้ายไปหาที่เพาะปลูกใหม่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ เป็นการทำลายป่าและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ส่วนการเพาะปลูกแบบไร่นาสวนผสมจะมีการดูแลบำรุงดินที่ดีกว่าทำให้สามารถคงความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ได้
2.การเลี้ยงสัตว์ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ การเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภค ไว้ใช้งานและไว้ขายส่วนใหญ่จะทำในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์แบบอยู่เป็นที่จะไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากเท่ากับการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน
3.อุตสาหกรรม เป็นการนำผลิตผลมาดัดแปลงหรือแปรสภาพให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่มีลักษณะซับซ้อนในเนื้อที่น้อยต้องใช้วัตถุดิบและเชื้อเพลิงจำนวนมากในการผลิต มีการใช้แรงงานตลอดจนต้องการความสะดวกในการคมนาคมขนส่งไม่ว่าจะเป็นการนำวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานและผลิตผลจากโรงงานออกสู่ตลาดทำให้เกิดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้เกิดชุมชนขึ้นและมีการขยายตัวทั้งชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งย่อมจะมีผลต่อการเติบโตของเมืองอย่างกว้างขวาง
ความสัมพันธ์ของการตั้งถิ่นฐานกับสภาพแวดล้อม
เมื่อมนุษย์มีความสัมพันธ์กันและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน มนุษย์จะรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มสร้างบ้านเรือนแหล่งที่อยู่อาศัย ทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์ มีกิจกรรมร่วมกันและมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเมื่อเลือกสถานที่ที่จะตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยแล้ว มนุษย์ก็เริ่มจัดการกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการดำรงชีพ สิ่งแวดล้อมดังกล่าวสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ได้แก่ อากาศ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ มหาสมุทรพื้นดิน แร่ธาตุ ภูเขา ป่าไม้และสัตว์ป่า เป็นต้น
2.สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน โรงเรียน ถนน รถยนต์ เขื่อนกักเก็บน้ำเป็นต้นรวมตลอดถึงขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจและสังคมด้วย
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นถิ่นฐานมนุษย์ โดยมีขนบธรรมเนียม ประเพณีระบบเศรษฐกิจและสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นและข้อจำกัดทางธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์และเป็นหลักสำหรับการอยู่ร่วมกันเพื่อให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างผาสุกและให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
มนุษย์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จึงมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่เราเรียกกันว่าระบบนิเวศ ผลกระทบนั้นเป็นไปได้ทั้งในทางทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นหรือในทางทำลายให้เลวลง แต่ถ้าเราไม่มีการวางแผนเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานแล้ว ย่อมทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมลง การตั้งถิ่นฐานที่ขาดการควบคุมย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีก็เป็นปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากการที่เรามุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศขยายการก่อสร้างปัจจัยพื้นฐาน เช่น ถนน เขื่อนสนามบิน ท่าเรือ เป็นต้น การที่เราเร่งผลิตสินค้าและบริการให้ทันกับความต้องการของถิ่นฐานที่ขยายใหญ่ขึ้นเหล่านี้ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมากๆ
จากกระบวนการพัฒนาและการผลิตนี้เองทำให้มีของเสียเหลือทิ้งออกมาในรูปต่างๆเจือปนอยู่ในสิ่งแวดล้อมซึ่งทำให้ความสมดุลของธรรมชาติเสียไปเมื่อสิ่งแวดล้อมถูกทำลายและมีของเสียปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก สิ่งแวดล้อมก็จะอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมและอาจจะรุนแรงถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัยได้ การที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและเป็นพิษจะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและอนามัยของมนุษย์อีกทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีการหยุดยั้งและไม่ระมัดระวังจะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญสิ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในรูปปัญหาทางสังคมอีกซึ่งเป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่จะต้องช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดีมีคุณภาพเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า
4.ทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุ
4.1 ทฤษฎีความสำเร็จในโครงการก่อสร้าง
สุทธิภาษีผล.(2551) กล่าวไว้ว่า องค์ประกอบแสดงความสำเร็จของโครงการ หมายถึงโครงการมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสามารถทำงานให้เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้และได้คุณภาพตามรูปแบบและสัญญา ซึ่งหากวิเคราะห์โดยละเอียดแล้วความสำเร็จของโครงการที่สมบูรณ์จะต้องคลอบคลุมความหมายที่กว้างกว่านั้น คือ ความสำเร็จของโครงการหนึ่งเป็นผลมาจากการที่โครงการมีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
องค์ประกอบที่แสดงถึงความสำเร็จของโครงการหนึ่งๆควรประกอบไปด้วยปัจจัยต่างๆดังนี้
1. การจัดการด้านการเงินและเวลา (Time and Cost Management) หมายถึง ประสิทธิผลในการบริหารงานและการจัดการโครงการตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งสิ้นสุดโครงการว่าสามารถเสร็จสิ้นภายใต้เวลาและงบประมาณที่ตั้งไว้
2. ผลทางด้านเทคนิค (Technical Performance) แสดงถึงคุณภาพของผลงานโครงการที่เป็นไปตามสัญญาและถูกต้องตามข้อจำกัด (Specification) สามารถทำงานในเชิงเทคนิคได้อย่างถูกต้องและสมกับสภาพแวดล้อมของโครงการนอกจากนี้ยังรวมถึงการที่โครงการมีระบบการจัดการด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ
3. ความพึงพอใจในการบริหารและการจัดการโครงการ (Managerial and Organization Satisfaction) หมายถึง การที่มีทีมงานได้ให้ความร่วมมือในการทำงานมีการประสานงานอย่างดีจนกระทั่งโดยการสิ้นสุดและสามารถร่วมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโครงการได้นอกจากนั้นความพอใจของทีมงานยังรวมถึงความภูมิใจ ความรู้สึกถึงงานที่ท้าทายได้ให้ประสบการณ์กับทีมงานซึ่งเป็นผลดีต่อองค์กรระยะยาว
4. ความพึงพอใจในผลงาน (Business Performance Satisfaction) แสดงได้จากผลการตอบกลับหรือจากประเมินผลจากลูกค้ารวมทั้งผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
5. การปิดโครงการในผลงาน (Business Performance Satisfaction) แสดงได้จากผลการตอบกลับหรือจากการประเมินผลจากลูกค้ารวมทั้งผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมขององค์กรในระยะยาวความสำเร็จขององค์กรย่อมขึ้นอยู่กับความสำเร็จของโครงการทุกโครงการ ดังนั้นผู้บริหารจึงควรตระหนักว่าองค์ประกอบของความสำเร็จของโครงการหนึ่งๆ นั้นมีมากกว่าด้านการเงิน คุณภาพ และเวลา นอกจากจะส่งผลเสียให้กับด้านการเงิน คุณภาพ และเวลาของโครงการแล้วยังส่งผลกระทบด้านลบให้กับองค์กรในระยะ
ยาวอีกด้วย
4.2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการงานก่อสร้าง (Construction Management)
การจัดการงานก่อสร้าง หมายถึง กระบวนการจัดการในการใช้ทรัพยากรทางด้านงานก่อสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดอันได้แก่ คน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องทุ่นแรงและเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม โดยจัดให้อยู่ในระบบระเบียบสามารถดำเนินการโดยสะดวก ราบรื่นและปราศจากอุปสรรคในระหว่างการดำเนินการหรือมีก็ให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเพื่อให้ผลงานบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดโดยเจ้าของโครงการ ควรประกอบด้วยเป้าหมายดังต่อไปนี้
1. เกิดผลกำไรตามที่คาดไว้
2. งานเสร็จตามที่ระยะเวลากำหนดให้
3. ผลงานมีความถูกต้องตามรูปแบบและคุณภาพ
4. ดำเนินการอย่างปลอดภัยต่อทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์
5. ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณงานก่อสร้าง
6. ดำเนินงานภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีและปฏิบัติตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีการจัดการงานก่อสร้าง มิได้เป็นหน้าที่หรืองานของผู้รับเหมาก่อสร้างอย่างเดียวแต่จะเป็นหน้าที่ของผู้บริหารโครงการก่อสร้าง (ตัวแทนเจ้าของงาน) หรือวิศวกร สถาปนิกที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของโครงการเพื่อมาควบคุมดูแลการก่อสร้างให้เป็นไปตามหลักวิชาการถูกต้อง ปลอดภัยซึ่งจะส่งผลให้งานก่อสร้างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรจะคำนึงถึงองค์ประกอบหลักในการบริหารจัดการงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัดเจน คือ
1.เวลาในการก่อสร้าง (Time)
2.งบประมาณค่าก่อสร้าง (Budget)
3.คุณภาพงานก่อสร้าง (Quality)
ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้จะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและผู้ที่ดำเนินการจัดการงานก่อสร้างจึงควรตระหนักและวางแผนอย่างรอบคอบในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย เช่น งานก่อสร้างที่ต้องการคุณภาพงานสูงจำเป็นต้องใช้งบประมาณที่สูงและระยะเวลาก่อสร้างที่มากตามและในบางครั้งเราอาจเห็นโครงการก่อสร้างที่ต้องเร่งเวลามากเกินไปจึงส่งผลให้คุณภาพงานต่ำลงไป
พนม ภัยหน่าย.(2550) การจัดการก่อสร้างเป็นการบริหารงานของผู้รับเหมาแต่เป็นหน้าที่ของผู้บริหารโครงการอย่างหลีกไม่ได้โดยมีรายละเอียดของการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
1.Planning การวางแผนที่ใช้คุ้มงานก่อสร้างโดย BARCHART,CHAIN OF BAR–CHART, C.P.M. NETWORK เป็นต้น
2.Organizing การจัดองค์การบริหารก่อสร้างจะทำอย่างไรให้เหมาะสมกับงาน
3.Scheduling ตารางกำหนดเวลาการทำงานในแต่ละกิจกรรม
4.Budgeting การกำหนดงบประมาณการบริหารงบประมาณ ต้องทราบงบประมาณต่างๆ เช่น
ภาษีค่าแรง วัสดุ เป็นต้น
5.Reporting การรายงาน รายงานความก้าวหน้าของงานว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ตลอดจนการควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุต่างๆ และอุปสรรคในการทำงานเป็นสัปดาห์ เดือน และปี
6.Accounting การทำบัญชีเป็นการแสดงรายจ่ายเพื่อให้ทราบสถานะทางการเงิน
7.Documentation การทำเอกสารให้มีประสิทธิภาพแยกหมวดโดยเก็บให้ดีและง่ายต่อการค้นหาตลอดจนติดตามเอกสารและส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ
8.Coordinating การประสานงาน สามารถทำอย่างราบรื่นลดปัญหาต่างๆ
9.Controlling การควบคุมงานต้องมีวิธีการกำกับให้ทันต่อเวลาเพื่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทันท่วงที
10.Decision marketing การตัดสินใจต้องมีเหตุผลอยู่ในความเป็นธรรม หลักวิชาการและตัดสินใจทันท่วงที
ประเภทของการก่อสร้าง (Type of Constructions)
วิสูตร จิระดาเถิง. (2550) ได้จำแนกงานก่อสร้างออกเป็นกลุ่มลักษณะงานได้ต่อไปนี้
1.งานก่อสร้างที่อยู่อาศัย (Residential Construction) ซึ่งได้แก่ บ้านพักอาศัย อาคารชุดพักอาศัยหรือห้องเช่า
2.งานก่อสร้างเพื่อธุรกิจการค้า (Building Contraction for Business) ซึ่งได้แก่ ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน เป็นต้น
3.งานก่อสร้างทางด้านอุตสาหกรรม (Industrial Construction) ซึ่งได้แก่ งานก่อสร้างอาคารโรงงานต่างๆ โดยทั่วไปเป็นการก่อสร้างที่ไม่มีความยุ่งยากนักยกเว้นบางโครงการที่เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้เทคโนโลยีสูงในการก่อสร้างอาคารโรงงาน เช่น โรงงานปิโตรเคมี
4.งานก่อสร้างขนาดใหญ่หรืองานสาธารณูปโภค (Heavy Engineering or Infra–structure Construction) ซึ่งได้แก่ โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยส่วนใหญ่ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุน เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงมาก แต่ในปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้เอกชนที่มีขีดความสามารถร่วมระดมทุนในการก่อสร้างได้ในลักษณะแบ่งปันผลประโยชน์กับภาครัฐ เช่นเอกชนเป็นผู้ลงทุน ภาครัฐเป็นเจ้าของสถานที่ เมื่อดำเนินการไประยะหนึ่งตามกำหนดสัญญาแล้วงานก่อสร้างดังกล่าวก็จะตกเป็นของภาครัฐ เช่น ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่
ข้อจำกัดงานก่อสร้าง (Limitations in Construction)
พนม ภัยหน่าย. (2550) ข้อจำกัดของโครงการก่อสร้างลักษณะคล้ายกับการตีกรอบโดยสามารถแก้ได้ง่ายบางกรณีมีข้อจำกัดหลายประการ ผู้ควบคุมต้องพิจารณาให้รอบคอบและหาวิธีแก้ไขไว้ล่วงหน้าเพื่อลดอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นระหว่างการทำงานและการทำงานจะได้ไม่หยุดชะงักลงกลางคัน การคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมเสี่ยงต่อการผิดพลาดด้วยเหตุนี้ผู้รับเหมาจึงควรรู้ปัญหาที่เกิดจากข้อจำกัดต่างๆ คือ
1.ข้อจำกัดในด้านการเงิน โดยต้องวางแผนการเงินคำนวณให้พอดีกับจำนวนงวดงานที่จะได้มีการสำรองยามฉุกเฉินโดยสามารถจ่ายได้ทันที หากตั้งความหวังการรับเงินค่างวดงานก่อสร้างจากเจ้าของโครงการอาจชักช้าไม่ทันการและอาจทำให้โครงการก่อสร้างหยุดชะงักลง
2.ข้อจำกัดเกี่ยวกับคมนาคม บางครั้งการทำงานที่ไกลๆ การขนส่งล่าช้า การทำงานในสถานที่แคบยากต่อการขนส่งวัสดุไม่สะดวกด้วยประการต่างๆ เพราะทำให้งานชะงักและล่าช้าไม่อาจดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้อาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลาของโครงการในสัญญางานก่อสร้างอนึ่งการขนส่งวัสดุในครั้งละปริมาณมากย่อมมีต้นทุนค่าขนส่งน้อยกว่าขนส่งวัสดุทีละน้อยๆ เป็นจำนวนหลายๆ ครั้ง
3.ข้อจำกัดเกี่ยวกับคนงานและอัตราค่าจ้างงานที่ทำจะอยู่ในสถานที่แตกต่างกัน ฉะนั้นเรื่องปัญหาแรงงานคนจึงเกิดขึ้นตามมา ในบางพื้นที่ไม่มีคนที่ชำนาญเฉพาะทางซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำงานและอัตราค่าจ้างด้วย เช่น งานฝีมือ งานที่เสี่ยงอันตราย ย่อมมีค่าใช้จ่าย (ค่าแรงงาน) สูงกว่างานที่ทำในสภาวะปกติ
4.ข้อจำกัดเกี่ยวกับลมฟ้าอากาศ เป็นข้อจำกัดอีกอย่างเพราะไม่สามารถกำหนดได้บางครั้งการที่ฝนตก น้ำท่วม ลมพายุจะทำให้งานล่าช้าถือว่าเป็นปัญหาที่แตกต่างจากภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ดังนั้นผู้รับเหมาต้องดูสถิติให้ดีและหาแนวทางแก้ไขไว้ล่วงหน้าเพื่อลดอุปสรรคดังกล่าวอาจส่งผลต่อระยะเวลา งบประมาณ คุณภาพงาน ตลอดจนชื่อเสียงของทางองค์กรด้วย
5.ข้อจำกัดเกี่ยวกับรูปแบบและรายการก่อสร้าง เช่น แบบไม่ชัด เขียนผิด รายละเอียดไม่เพียงพอจนไม่สามารถทำงานได้ซึ่งทำให้เกิดการต่อรองของผู้ว่าจ้างทำให้เสียผลประโยชน์ ถ้าตกลงไม่ได้จะเกิดปัญหาตามมาดังนั้นจึงควรศึกษาทั้งแบบก่อสร้างและรายการประกอบแบบ ตลอดจนเอกสารต่างๆ ที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญางานก่อสร้างให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนเสมอเพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งความผิดพลาดดังกล่าวบางครั้งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขเพื่อหาข้อสรุปจึงทำให้งานก่อสร้างหยุดชะงักลง
6.ข้อจำกัดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมืองานก่อสร้างบางประเภทจะกำหนดคุณสมบัติของวัสดุต่างๆ ไว้ในรายการการประกอบแบบ (Specification) เช่น การระบุสียี่ห้อรุ่นขนาด ซึ่งถ้าหากหาซื้อไม่ได้หรือของขาดตลาดและยากต่อการนำเข้าย่อมเกิดปัญหาต่อการก่อสร้างอาจทำให้เกิดความล่าช้าของงานได้
7.ข้อจำกัดเกี่ยวกับเวลา งานบางอย่างทำแข่งกับเวลากรณีที่งานเร่งด่วนข้อจำกัดในเรื่องนี้มีปัญหาอยู่มากเกี่ยวกับการวางแผนงาน เช่น งานทำก่อนหลัง การวางแผนประสานงานต่างๆ ซึ่งงานก่อสร้างเป็นงานที่ตกลงทำสัญญากันระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง รายละเอียดในสัญญามักจะกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในการก่อสร้างไว้ชัดเจนตลอดจนการกำหนดปริมาณงานออกเป็นงวดๆ เพื่อสอดคล้องกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดงาน ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณารอบคอบในการวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับงวดงานที่แปรผันโดยตรงกับจำนวนเงินที่จะได้รับ
8.ข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการก่อสร้าง การก่อสร้างบางทีไม่สามารถก่อสร้างในสถานที่บางแห่งได้โดยปกติทั้งอาจเกิดจากตัวอาคารหรือสิ่งแวดล้อม เช่น การก่อสร้างติดโรงพยาบาล เป็นต้น เราจึงต้องหาวิธีอื่นแทนเพื่อไม่ให้เกิดการเสียหายได้โดยอาจใช้ผู้ชำนาญและต้องวางแผนล่วงหน้าโดยภาระงานที่เพิ่มขึ้นย่อมก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตาม
9.ข้อจำกัดเกี่ยวกับระเบียบ ข้อบังคับหรือกฎหมายนับเป็นปัญหาที่ส่งผลอย่างมาก เช่น เกี่ยวกับการจราจรที่กำหนดน้ำหนักรถบรรทุก กำหนดเวลาวิ่ง การจ้างแรงงาน ซึ่งต้องทำการวางแผนการทำงานให้ดีเสมอ เช่นการเทคอนกรีตในเวลากลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจราจรที่เกิดขึ้นในเวลากลางวัน
10.ข้อจำกัดด้านอื่นๆ เช่น ความร่วมมือประสานงาน ปัญหาผู้ว่าจ้างและผู้ดูแลของผู้ว่าจ้างซึ่งโยกโย้หรือโลเลง่าย แต่อาจแก้ปัญหาโดยการให้ค่ารับรองเพราะจะลดปัญหากลั่นแกล้งได้จึงควรคำนึงและพิจารณาให้ดี กรณีปัญหาจากคน เช่น การทำงานไม่สม่ำเสมอหรือไม่ตรงเวลา บางครั้งถึงขั้นทิ้งงาน การแก้ปัญหาโดยการเหมาเป็นช่วงๆหรือเหมาชิ้นงานจะช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นได้
ปัจจัยสนับสนุนการบริหารงานก่อสร้าง
ประกอบ บำรุงผล. (2550) การประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็เหมือนกับธุรกิจประเภทอื่นๆ คือ เมื่อถึงขั้นตอนการดำเนินงานจำเป็นต้องมีปัจจัยที่เป็นรูปธรรมมาสนับสนุนกระบวนการดำเนินการ คือ
1.เงินทุน (Money) ประกอบด้วย
1.1 เงินสด (Cash)
1.2 เงินผ่อน (Credit)
1.3 เงินทุน
เป็นปัจจัยด้านการสนับสนุนการบริหารที่สำคัญที่สุด เพราะจะส่งผลกระทบถึงปัจจัยตัวอื่นๆ ด้วย
2. สถานทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอที่จะหมุนเวียนให้เกิดสภาพคล่องอยู่เสมอ กำลังคน (Man)การก่อสร้างต้องใช้คนระดับต่างๆดังนี้
2.1 ระดับผู้เชี่ยวชาญวางแผนและนโยบาย (Professional)
คือ ระดับผู้บริหารโครงการ
2.2 ระดับช่างเทคนิค (Technician)
2.3 ระดับช่างฝีมือ (Skilled Labor)
2.4 ระดับแรงงาน (Labor)
3.เครื่องทุ่นแรง (Machine) ถึงจะใช้แรงคนแต่บางอย่างใช้เครื่องทุ่นแรงเข้าช่วย เช่น งานขุดดิน งานรื้อถอน เป็นต้น หากไม่มีเครื่องทุ่นแรงอาจทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความล่าช้าส่งผลให้สิ้นเปลืองงบประมาณและระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องทุ่นแรงไว้เพียงพอต่อความจำเป็นในการใช้งาน
4.วัสดุอุปกรณ์ (Material) เป็นปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ถ้าโครงการก่อสร้างใดขาดวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างในขณะที่ทำการก่อสร้างด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามจะทำให้เกิดผลเสียแน่นอน เช่น การหยุดชะงักการทำงาน
4.3 แนวคิดเกี่ยวกับเงินทุน
การวางแผนและควบคุม (Planning and Control) เป็นกระบวนการที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา Dynamic
เงินสด Cash หมายถึง สินทรัพย์ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ชำระหนี้ได้ อาทิเช่น ธนบัตรเหรียญกษาปณ์และเงินฝากกระแสรายวัน เป็นต้น
เงินสดถือเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจก่อสร้าง เพราะเป็นสิ่งสนับสนุนการทำกิจกรรมในแต่ละวัน
สรรเพชญ พรหมประดิษฐ์ (2551) กล่าวถึงความจริงที่เกี่ยวข้องระหว่างความจำเป็นของเงินสดและความสามารถในการทำกำไรว่าเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกันยิ่งกว่านั้นยังกล่าวสนับสนุนถึงความจำเป็นที่ต้องมีเงินสดว่าบริษัทจะขาดความเชื่อมั่นได้หากบริษัทขาดเงินสดหมุนเวียน แม้ว่าในบัญชีจะแสดงว่ามีผลกำไรซึ่งบริษัทส่วนใหญ่เกิดปัญหาสภาพคล่องอันเนื่องมาจากเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียนในการทำงานทั้งๆ ที่สามารถคาดหวังได้ว่าหากทำงานสำเร็จจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย ซึ่งถ้ามีอยู่มากจะเรียกว่าการดำเนินธุรกิจมีสภาพคล่องสูงในทางตรงข้ามหากธุรกิจมีเงินสดที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้อยู่ในระดับต่ำก็จะเรียกว่าการดำเนินธุรกิจมีสภาพคล่องต่ำ ดังนั้นวัตถุประสงค์ในการจัดการเงินสดก็เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้เงินสดที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด คือ ให้เกิดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการสภาพคล่องจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในบริษัทก่อสร้างมีความเกี่ยวข้องกับการวางแผน Process
แต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันในกระบวนการการทำงานอันเนื่องมากจากความแปรปรวนในกระบวนการหรือการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนหลายๆ อย่างของโครงการในระหว่างการดำเนินโครงการตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นจนกระทั่งจบโครงการ ความจำเป็นในการบริหารงานสดก็เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้เงินสดที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดคือให้เกิดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและมีกำไรในระดับที่ควรหรือหากว่าสภาพคล่องในโครงการไม่ดีในบางช่วงก็อาจจะทำการกู้ยืมเพื่อนำมาใช้จ่ายแก้ปัญหาสภาพคล่องซึ่งก่อนอื่นบริษัทต้องรู้ก่อนว่าขาดสภาพคล่องชั่วครั้งชั่วคราวในช่วงใดโดยการคาดการณ์ล่วงหน้าเนื่องจากปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นโดยปราศจากการแจ้งเตือนล่วงหน้า ดังนั้นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและมีอย่างเพียงพอในการทำนายการขอกู้ยืมจากแหล่งเงินทุน ต้นทุน ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากวงเงินที่ต้องขอกู้มีผลต่อกำไรที่โครงการคาดว่าจะได้รับ นอกจากนี้หากยังไม่ทราบว่าปริมาณเงินที่เหมาะสมแท้จริงที่จะขอกู้จำนวนเท่าใดทางแหล่งเงินทุนก็อาจจะไม่เต็มใจที่จะให้กู้ยืม ซึ่งเสี่ยงต่อการอนุมัติเงินกู้หรืออาจทำให้ต้นทุนภาระดอกเบี้ยให้การกู้ยืมนั้นสูงเกินความจำเป็น เพราะอาจต้องกู้เผื่อไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นก่อนที่จะเข้าสู่การทำนายว่าสภาพคล่องของโครงการเป็นอย่างไร ควรจะต้องทำความรู้จักกับคำจำกัดความที่สำคัญหรือสมการต่างๆ ที่มาเกี่ยวข้องเพื่อนำมาพิจารณาสภาพคล่องของโครงการในการทำงานมักจะอ้างอิงค่าใช้จ่ายในรูปของต้นทุนหมุนเวียน ในขณะที่การทำนายกระแสเงินสดหมุนเวียน มักจะยึดเอาตามเงินสดหมุนเวียนเป็นพื้นฐานแล้วจะทำให้ทราบถึงปริมาณเงินสดที่ใช้หมุนเวียนซึ่งสะท้อนถึงสภาพคล่องของโครงการ
สรรเพชญ พรหมประดิษฐ์ ได้แนะนำว่าควรจะแบ่งต้นทุนออกเป็นแต่ละองค์ประกอบ เช่น ค่าแรง ค่าวัสดุ แต่ละองค์ประกอบจะถูกกำหนดว่ามีการจ่ายเงินออกไปในแต่ละช่วงที่เหมือนๆ กัน เพื่อทำนายเงินทุนหมุนเวียนเนื่องจากข้อมูลที่มีจำกัดในช่วงเริ่มต้นของโครงการประมาณราคาจึงทำให้การกรอกข้อมูลมีข้อจำกัดหลายประการในการทำนายเงินสดหมุนเวียน แต่อย่างไรก็ตามอย่างน้อยข้อมูลที่จำเป็นที่ต้องมีในเบื้องต้นเหล่านี้ก็สามารถนำมาใช้เป็นหลักในการคำนวณได้ผลลัพธ์ที่แสดงผลได้ชัดเจนก็คือกราฟแสดงเงินที่ได้รับ (Learning Curve) โดยสะท้อนออกมาในรูปของตัวเงินที่ผู้รับเหมาทำงานได้ซึ่งสามารถทราบได้จากการทำงานแต่ละช่วงของแผนงานที่วางไว้โดยเปรียบเทียบกับการทำงานตามแผนงานโดยพัฒนามาเป็นรูปแบบที่มาตรฐานใช้กันแพร่หลายที่รู้จักกันและเรียกว่า S–Curveซึ่งรูปทรงของกราฟที่ได้จะสะท้อนให้ทราบถึงคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละโครงการ กราฟแสดงเงินที่จ่ายจากเจ้าของงาน (Payment Curve) สะท้อนออกมาในรูปของเงินที่ได้จากการทำงานได้จริง ซึ่งโดยทั่ว ไปแล้วมีค่าเท่ากับเงินที่เบิกกับเจ้าของงาน ในบางกรณีจะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขข้อตกลงในการเบิกจ่าย ซึ่งอาจจะต้องถูกหักเงินในบางส่วนเพื่อเป็นค่าประกันผลงานในบางโครงการจะจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาล่วงหน้าด้วยเพื่อช่วยให้กับผู้รับเหมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในช่วงเริ่มต้นโครงการ มีค่าใช้จ่ายในการขนย้ายค่าก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคชั่วคราวในโครงการสำนักงาน เป็นต้น ซึ่งอาจจะถูกจ่ายในลักษณะของการเหมาจ่ายเป็นจำนวนเงินหนึ่งซึ่งผู้รับเหมาจะต้องทำการจ่ายเงินส่วนนี้คืนทุกครั้งที่มีการเบิกเงินจากเจ้าของโครงการจนกระทั่งจบโครงการ
4.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแข่งขันทางธุรกิจ
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (2545) ยุทธวิธีในการแข่งขันทางธุรกิจ (Porter’s Five Forces) ซึ่งเป็นแนวคิดของปรมาจารย์ด้านการบริหารและเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งคือ Michael E.Porter ซึ่งเป็นอาจารย์ที่อยู่ Harvard Business School แนวคิดนี้ได้กล่าวถึงปัจจัย 5 อย่างที่มีอิทธิพลอย่างมากในการสร้างภาวะกดดันทางการแข่งขันต่อทุกองค์กรทางธุรกิจและปัจจัยทั้ง 5 นี้ คือ
1.คู่แข่ง (Rivalry)
2.อำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Customers)
3.อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)
4.ภัยคุกคามจากคู่แข่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น (Threat of New Entrants)
5.ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products of Services)
1.คู่แข่ง (Rivalry)
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่แข่งขันทางการค้านั้นมีส่วนทำให้เราหนักใจมากที่สุด สังเกตได้จากกลยุทธ์วิธีและเทคนิคต่างๆ ที่เราต้องลำบากคิดค้นขึ้นมากนั้นก็เพื่อที่จะพยายามเอาชนะคู่แข่งขันของเราให้ได้การเอาชนะในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความพยายามที่จะโค่นคู่ต่อสู้ลงให้ได้ด้วยวิชามากแต่หมายถึง การพัฒนาในตัวสินค้าและบริหารของเราให้ดีกว่าเพื่อที่จะดึงดูดใจให้ผู้บริโภคมาใช้สินค้าของเราแต่ถ้าสมมุติว่าเมื่อคู่แข่งขันของเรามีขีดความสามารถที่เหนือกว่าแน่นอนว่าเราก็จะต้องตกอยู่ในภาวะลำบากในฐานะที่เราต้องรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันเช่นกัน เราจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงในส่วนของขีดความสามารถของเราให้เหนือกว่าคู่แข่งของเรา ดังนั้นเราจะต้องตรวจสอบคู่แข่งของเราอย่างสม่ำเสมอว่าคู่แข่งได้ใช้กลยุทธ์อะไรบ้าง เช่น การใช้สื่อโฆษณาการเปิดตัวสินค้าใหม่การเพิ่มระยะประกันสินค้า เป็นต้น ที่สำคัญ คือ คู่แข่งไม่ได้มีเพียงรายเดียว เราควรจะรู้ว่าจำนวนคู่แข่งมีเท่าไหร่ มีความเข้มแข็งแค่ไหน แต่ละรายใช้เทคนิคอะไรบ้าง จากนั้นมานั่งตรวจสอบดูว่าระดับความเข้มข้นในการแข่งขันนั้นอยู่ในระดับมาก ปานกลางหรือว่าน้อย
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่พบเสมอ คือ ความสับสนที่เราไม่แน่ใจว่าเรามีใครเป็นคู่แข่งขันอยู่บ้าง มีวิธีการง่ายคือให้เราตรวจสอบดูว่าเราอยู่ในอุตสาหกรรมใด เช่น บันเทิง สิ่งพิมพ์ ขนส่ง/ปลีก โดยการตรวจสอบลักษณะของสินค้า/บริการของเราว่ามีลักษณะอย่างไรจากนั้นก็ให้ดูว่าใครที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับเราบ้างในที่สุดภาพของคู่แข่งก็จะค่อยๆเริ่มปรากฏขึ้นให้เห็น
2.อำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Customers)
อำนาจต่อรองของลูกค้าก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างแรงกดดันต่อการแข่งขัน เช่น การที่เราจะทราบว่ากลุ่มลูกค้ามีอำนาจแค่ไหน เราอาจดูได้จากการกำหนดราคาซื้อขายสินค้า เช่น ถ้าราคาสินค้าถูกกำหนดโดยกลุ่มลูกค้า หมายถึงว่าเมื่อเราจะตั้งราคาสินค้าเราจะนึกถึงลูกค้าว่าเราคำนวณมันจะสูงเกินไปไหม ลูกค้าจะหันไปซื้อกับเจ้าอื่นหรือเปล่าในลักษณะนี้แสดงว่าลูกค้ามีอำนาจการต่อรองสูงหรืออีกกรณีหนึ่ง คือ ลูกค้าสามารถจะชี้นำหรือถูกว่าเป็นอยู่เดิมด้วย นี่ก็แสดงว่าลูกค้ามีอำนาจการต่อรองอยู่ในมือสูงเช่นกัน เราจะลองมาดูกันหน่อยว่าสาเหตุที่กลุ่มลูกค้ามีอำนาจการต่อรองสูงมีเหตุผลมากจากปัจจัยด้านใดบ้าง ซึ่งสามารถสรุปได้ตามแนวคิดของ Michael E.Porter คือ
2.1 เมื่ออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีกลุ่มลูกค้าซื้อสินค้าเป็นจำนวนครั้งละมากๆ กลุ่มผู้ขายจะรู้สึกเกรงใจเป็นธรรมดาส่งผลให้กลุ่มลูกค้าสามารถสร้างอำนาจการต่อรองราคาสินค้าให้ต่ำลงตามที่ตัวเองต้องการได้ตรงนี้ท่านลองย้อนกลับไปดูบริษัทของท่านว่ามีลูกค้ารายใหญ่ใช้บริการหรือซื้อสินค้าค้าท่านเป็นจำนวนมากหรือไม่ถ้ามีลองนึกดูว่าอำนาจการต่อรองของลูกค้ามีมากหรือไม่
2.2 ที่ตัวสินค้าไม่แตกต่างกันมากนักในท้องตลาดทำให้ลูกค้าสามารถที่จะเลือกซื้อสินค้ากับผู้ค้ารายได้ก็ได้ (Shop Around) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสงครามราคาระหว่างผู้ค้าในที่สุดสินค้าก็จะมีราคาถูกลงแสดงถึงอำนาจการต่อรองไปอยู่ในมือลูกค้า
2.3 กรณีที่สินค้านั้นถูกซื้อไปเพื่อเป็นส่วนประกอบหรือเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิต สินค้าตัวอื่นและถ้าวัตถุดิบนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กน้อยสำหรับสินค้าตัวใหม่รวมทั้งถ้าตัวสินค้านั้นเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กน้อย สำหรับสินค้าตัวใหม่รวมทั้งถ้าตัวสินค้าวัตถุดิบนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดกำไรมหาศาลต่อลูกค้าที่ซื้อวัตถุดิบนั้นไปแล้ว ผู้ขายวัตถุดิบนั้นก็จะไม่มีอำนาจต่อรองอะไรมากนัก เพราะผู้ซื้อถือว่าสินค้านั้นไม่สำคัญมาก ลองนึกถึงภาพของสินค้ารถยนต์ซึ่งจะมีส่วนประกอบจากหลายๆ ซัพพลายเออร์ เช่น ผู้ประกอบรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งสั่งแบตเตอรี่จากบริษัทA สั่งยางจากบริษัทB สั่งที่ปัดน้าฝนจากC จากตัวอย่างนี้ท่านจะเห็นว่าสินค้าเหล่านี้นั้นมีความสำคัญน้อยมากเมื่อเทียบกับอุปกรณ์อื่นและมูลค่าสินค้าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่ารถทั้งคัน ทั้งผู้ประกอบการรถยนต์สามารถจะเลือกซื้อได้จากผู้ขายรายอื่นอีกมากมาย
2.4 ลูกค้าอาจมีการสร้างอำนาจในการต่อรองสินค้าด้วยการผลิตสินค้าชนิดนั้นเสียเอง (Integrate Backward) ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้จำหน่ายรถยนต์ขู่ว่าจะประกอบรถยนต์เสียเองแทนที่จะเป็นเพียงตัวแทนขายหรือกลุ่มผู้จำหน่ายน้ำมันขู่ว่าจะสร้างโรงกลั่นน้ำมันเสียเองเพื่อที่จะต่อรองราคากับกลุ่มผู้ผลิตทำให้กลุ่มผู้ผลิตรู้สึกเกรงใจ แต่อย่างไรก็ตามในทางกลับกันกลุ่มผู้ผลิตอาจจะย้อนรอยด้วยการขู่กลับว่าตัวเองนอกจากจะผลิตแล้วก็จะจำหน่ายเสียเองด้วย (Integrate Forward) เช่น กลุ่มผู้กลั่นน้ำมันสร้างป้ัมน้ำมันเสียเอง เป็นต้น
3.อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)
ตัวซัพพลายเออร์ คือ ผู้ที่จำหน่ายสินค้า/วัตถุดิบ ที่ใช้ในการผลิตให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ เช่น สมมติว่าเราเปิดร้านค้าสะดวกซื้อ ตัวซัพพลายเออร์ก็คือผู้ที่ส่งสินค้าให้เราจำหน่ายการที่ซัพ พลายเออร์มีอำนาจการต่อรองมากก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความยากลำบากในการประกอบการอำนาจที่เห็นได้จากกลุ่มซัพพลายเออร์ คือ การขึ้นราคาสินค้าที่ส่งให้เราการลดคุณภาพ/จำนวนสินค้าเพื่อให้ต้นทุนสำหรับซัพพลายเออร์ใช้อำนาจนั้นจะส่งผลให้เรากลับเท่าเดิมหรือกลับสูงกว่าเดิม ผลกระทบจากการที่ซัพพลายเออร์ช้อำนาจนั้นจะส่งผลให้เรามีกำไรน้อยลงหรือแข่งขันกับผู้อื่นได้ยากขึ้น เราอาจจะสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้กลุ่มซัพพลายเออร์มีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นจริงๆ แล้วก็มีปัจจัยอยู่หลายประการประกอบกัน เช่น
3.1 มีซัพพลายเออร์จำนวนน้อยทำให้ผู้ประกอบการไม่มีทางเลือกมากนัก
3.2 ถ้าสินค้าของซัพพลายเออร์รายนั้นมีความโดดเด่นเป็นพิเศษและเป็นส่วนที่จำเป็นในการผลิตสำหรับผู้ประกอบการหรือเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมากของลูกค้าเราในด้านการลดต้นทุนและสร้างผลกำไรให้กับลูกค้าก็จะทำให้สินค้าของซัพพลายเออร์นั้นมีความสำคัญมากซึ่งทำให้ซัพพลายเออร์มีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นด้วย
3.3 สินค้าจากซัพพลายเออร์มีความสำคัญต่อผู้ประกอบการในแง่ค่าใช้จ่ายในการโยกย้ายไปใช้ในสินค้า/วัตถุดิบตัวอื่นหรือจากเจ้าอื่น (Switching Cost) พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเราย้ายไปใช้วัตถุดิบ/สินค้าอีกแบบหนึ่งจากซัพพลายเออร์รายอื่นจะส่งผลให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นจำนวนมากมายตามมา ตัวอย่างเช่น โรงงานปิโตรเคมีแห่งหนึ่งออกแบบเพื่อใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ ถ้าจะคิดหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการปรับเปลี่ยนตัวเครื่องจักรเพื่อรองรับก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้แล้วอำนาจการต่อรองอาจเกิดจากเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้เช่น การประกอบธุรกิจที่มีการซื้อเฟรนไชส์ (Franchise) ด้านหนึ่งจะได้ประโยชน์จากเจ้าของเฟรนไชส์ที่จะช่วยเป็นพี่เลี้ยง อีกด้านหนึ่งก็จะสูญเสียอำนาจการต่อรองกับเจ้าของเฟรนไชส์ที่ได้ตกลงกันไว้
4.ภัยคุกคามจากคู่แข่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น (Threat of New Entrants)
การเกิดขึ้นของคู่แข่งใหม่ย่อมก่อให้เกิดความพะวักพะวงในการแข่งขัน เราต้องเสียทั้งพลังงานและทรัพยากรที่จะมาคอยเฝ้าระวังว่าเจ้าคู่แข่งใหม่นี้จะทำอะไรที่มีผลกระทบมาถึงเราบ้างทั้งคู่แข่งใหม่นี้มักจะนำเอาแนวเทคโนโลยีใหม่ๆ ทรัพยากรด้านคนและกำลังเงินเข้ามาต่อสู้เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลง/ปั่นป่วนของตลาด เช่น เมื่อมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาจะส่งผลให้ปริมาณสินค้าในตลาดที่เพิ่มขึ้นและส่งผลต่อราคาสินค้าที่จะเปลี่ยนแปลงไปจนในที่สุดอาจพัฒนาไปสู่สงครามด้านราคา สังเกตดูการต่อสู้ของการตลาดเครื่องดื่มเบียร์เห็นว่าสมัยที่มีเบียร์อยู่ไม่กี่ยี่ห้อ สภาวะการแข่งขันของตลาดเบียร์ไม่หวือหวานัก ความรุนแรงทางการแข่งขันจะมีเป็นพักๆ จะเป็นตอนที่มีบางยี่ห้อ ต้องการช่วงชิงตลาดหรือกระตุ้นยอดขายเมื่อตลาดเครื่องดื่มประเภทนี้เปิดเสรีมากขึ้นก็มีผู้ต้องการเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ ปริมาณสินค้ามากขึ้นตัวเลือกมากขึ้นและสินค้าราคาถูกลง สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือส่งผลกระทบกระเทือนต่อผู้ที่อยู่ในตลาด/อุตสาหกรรมนั้นอยู่แล้ว เพราะลูกค้าเริ่มหันไปทดลองยี่ห้ออื่นๆ มากขึ้น อย่างไรก็ตามการเข้ามาในตลาดของเบียร์ยี่ห้ออื่นนั้นก็พบอุปสรรคหนักหนาสาหัสเช่นกัน จากแรงต้านที่เกิดขึ้นนั่นคือผู้ที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ตนเอง สิ่งที่เห็นชัดคือสงครามด้านสื่อโฆษณาและโปรโมชั่น และนี่ก็ถือเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (Barrier to Entry) ที่ผู้มาใหม่ต้องประสบ ถ้าอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดนั้นสูงจะส่งผลกระทบให้ภาวะคุกคามด้านคู่แข่งใหม่ๆ ต่อผู้ประกอบการเดิมจะต่างเพราะจะมีภูมิคุ้มกันที่เกิดจากกลไกของตลาดและภูมิคุ้มกันด้านกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการใช้ในการปกป้องตัวเอง นอกจากนี้ Michael E.Porter ได้กล่าวถึงอุปสรรคด้านอื่นที่ผู้มาใหม่ต้องเผชิญ คือ ต้นทุนต่อหน่วยสินค้าถูกลงเมื่อปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น (Economies of Scale) คือผลผลิตที่มีจำนวนมากพอที่จะทำให้ต้นทุนต่อตัวสินค้าที่ผลิตลดต่ำลง อันเนื่องมากจากปริมาณของตัวสินค้าจะเข้าไปเป็นตัวเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลงมา ส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบการเดิมหรือโรงงานใหญ่จะได้เปรียบเพราะปัจจัยต่างๆ นั้นมีพร้อมอยู่แล้วด้วยต้นทุนที่ต่ำอันเนื่องมากจากมีการลงทุนเบื้องต้นอยู่แล้วและมีฐานการตลาดเพียงพอที่จะผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากถ้าผู้มาใหม่ไม่สามารถจะสร้างจุดนี้ขึ้นได้ก็ต้องยอมรับความเสียเปรียบด้านต้นทุนสินค้าโดยทั่วไปแล้ว (Economics of Scale) เป็นส่วนสำคัญ อย่างมากของทุกตลาด/อุตสาหกรรม ตลาดคอมพิวเตอร์รถยนต์หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนมากเพื่อที่จะผลิตให้มีจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้ต้นทุนต่ำลงมา ซึ่งผู้ที่จะเข้ามาจะต้องคิดอย่างหนักว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการเดิมได้หรือไม่ เว้นเสียแต่ว่าผู้มาใหม่จะมีปัจจัยที่พร้อมอยู่ก่อนแล้ว เช่น อาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับเราอยู่แล้วเพียงแต่ย้ายการลงทุนมาจากที่อื่นหรือมีการนำร่องทางการตลาดมาพอสมควรแล้ว เป็นต้น
ความแตกต่างของสินค้า (Product Differentiation)
ความโดดเด่นที่แตกต่างไปจากตัวสินค้ายี่ห้ออื่นทำให้ลูกค้าสามารถจำแนกสินค้านั้นออกจากสินค้าอื่นได้และเลือกที่จะซื้อสินค้านั้นที่สุดก็จะพัฒนาไปสู่ความจงรักภักดีต่อสินคัานั้น สิ่งนี้จะช่วยเป็นกำแพง (Barrier to Entry) ปกป้องผู้ประกอบการเดิมจากผู้มาใหม่ด้านการเงิน (Capital Requirements)ความจำเป็นด้านเงินทุนในการประกอบการในบางอุตสาหกรรมนั้นปัจจัยเรื่องการเงินเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง (Capital Intensive) เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างโทรคมนาคมจริงๆ แล้วถ้าจะว่าไปเงินทุนก็จะเป็นปัจจัยที่สำคัญกับทุกๆอุตสาหกรรม เพราะถึงแม้จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากจนเกินไปแต่ถ้าความพร้อมทางการเงินมีน้อยหรือที่เรียกว่า “สายป่านสั้น” ผู้ประกอบการหน้าใหม่ก็จะลำบากที่จะแข่งขันกับผู้ประกอบการเดิมที่มีความพร้อมในปัจจัยพื้นฐานมากกว่าเพราะว่าเมื่อเราดูความจำเป็นทางการเงินลงทุนที่อาจจะต้องใช้ในการทำวิจัยตลาด ปัจจัยพื้นฐานมากกว่า เพราะว่าเมื่อเราดูความจำเป็นทางการเงินลงทุนที่อาจจะต้องใช้ในการทำวิจัยตลาด ทำการวิจัยในตัวสินค้า การโฆษณา การขายแบบเครดิต การสต๊อกสินค้าและสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืม คือ เงินลงทุนที่จะต้องใช้ในการหมุนเวียนในกิจการ
ช่วงแรกที่เริ่มต้นเพราะโดยธรรมชาติของการลงทุนนั้นมักจะต้องขาดทุนในช่วงเริ่มต้นประกอบการเป็นระยะเวลาพอสมควร ทั้งนี้ก็เพราะว่าปัจจัยมีการลงทุนอย่างหนัก หน่วยในตอนเริ่มต้นและรายได้ก็ยังไม่เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นเราจะเห็นว่าปัจจัยทางการเงินนั้นจะเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่จะกระโจนเข้าไปในอุตสาหกรรม/ตลาดใดตลาดหนึ่ง และในทางกลับกันก็จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับผู้ประกอบการรายเดิมจากคู่แข่งหน้าใหม่
ความเสียเปรียบด้านต้นทุนของผู้มาใหม่ (Cost Disadvantage Independent of Size)
ความเสียเปรียบของผู้ประกอบการที่ลงทุนใหม่ที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการเดิมซึ่งผู้ที่คิดจะเข้ามาแข่งขันไม่สามารถจะเลียนแบบได้ ทั้งนี้เพราะความสามารถนั้นเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ของผู้ประกอบการเดิมในวงการอุตสาหกรรมนั้นมานานจนเป็นข้อได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคนิคของการผลิต การรู้แหล่งวัตถุดิบที่มีราคาต่ำ การได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของรัฐ การได้สิทธิในฐานะผู้คิดค้นคิดสินค้า เป็นต้น
ความสามารถในการเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่าย (Access to Distribution Channels)
การเข้าสู่ตลาดของผู้เข้ามาใหม่ย่อมต้องเผชิญกับช่องทางการจัดจำหน่ายและตลาดระดับต่างๆ ที่ผู้ประกอบการเดิมในซอกซอนไว้มากแล้ว การที่จะไปบอกให้ตัวแทนจำหน่ายยกสินค้าเดิมออกไปแล้วเอาสินค้าใหม่เข้าไปวางแทน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากอย่างเก่งที่สุดก็คือการขอให้ได้พื้นที่สักนิดเพื่อวางสินค้านั้นก็หนักเอาการอยู่แล้ว ต้องอย่าลืมว่าผู้ประกอบการเดิมนั้นได้สร้างสัมพันธภาพกับตัวแทนจำหน่ายไว้ช้านาน สิ่งนี้พัฒนาไปสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน นี่ยังไม่นับถึงการ
ที่ผู้ประกอบการเดิมใช้ความได้เปรียบทางช่องทางการจัดจำหน่ายและความเป็นที่นิยมในตัวสินค้าเพื่อสร้างเงื่อนไขให้ตัวแทนจำหน่ายยึดติดกับสินค้าเดิมของตัวเองเพื่อป้องกันการแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งหรือคู่แข่งหน้าใหม่ ดังนั้นผู้มาใหม่อาจจะต้องสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายของ
ตนเองขึ้นมาทั้งหมดซึ่งก็ต้องใช้เวลา
นโยบายของรัฐ (Government Policy)
นโยบายและเงื่อนไขต่างๆ ที่รับหรือตัวแทนของรัฐเป็นผู้กำหนดจะเป็นตัวควบคุมการเปิดตลาดสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาแข่งขัน สิ่งที่เห็นชัดสำหรับเมืองไทย เช่น การให้สัมปทานในโครงการต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้การที่รัฐกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมเงื่อนไขทางด้านความปลอดภัยของผู้บริโภค มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างการกำหนดเขตอุตสาหกรรมหรือการกำหนดเงื่อนไขประกอบการ เป็นต้น นี่ก็เป็นอุปสรรคหรือการกำหนดเงื่อนไขการประกอบการ เป็นต้น
5. ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products of Services)
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากการเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นของสินค้า/บริการอื่นที่มีคุณลักษณะ
เทียบเคียงได้กับสินค้าเดิม ตัวอย่างตามที่ได้กล่าวไปแล้วบ้าง เช่น การที่สินค้าในรูปแบบของพลาสติกมาแทนสินค้าที่ทำจากไม้ เช่น เครื่องจักรสานที่ทำด้วยพลาสติก (สินค้าทดแทน) เข้ามาแทนที่เครื่องจักรสานที่ทำมาจากหลาย (สินค้าเดิม) หรือสินค้าประเภทน้ำตาลถูกแทนด้วยน้ำตาลเทียม เป็นต้น การเข้ามาของสินค้าทดแทนผลกระทบต่อมาคือการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเพราะตลาดเริ่มเล็กลงและที่สำคัญคือทำให้ผู้ประกอบการควบคุมราคาสินค้าของตัวเองได้ลำบากขึ้น ถ้าต้องการจะขึ้นราคาสินค้าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามจะทำให้ผู้ซื้อเปรียบเทียบราคาระหว่างสินค้าเดิมและสินค้าทดแทน จนผู้ซื้ออาจย้ายไปใช้สินค้าทดแทนได้
กลยุทธ์เพื่อการแข่งขัน
Supply Chain ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา (2548) ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหันมาพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และการกำหนดกลยุทธ์ทางการค้าเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าและการแข่งขันกับคู่แข่งขันทั้งในประเทศและในระดับองค์กรข้ามชาติมาเป็นส่วนแบ่งการตลาดในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยแต่เดิมกลยุทธ์ที่มักนำมาใช้คือการเร่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความโดดเด่นและกลยุทธ์ทางด้านราคาด้วย การลดต้นทุนและตัดค่าใช้จ่ายขององค์กรลงซึ่งท้ายที่สุดแล้วพบว่าทุกธุรกิจต่างก็ใช้กลยุทธ์ไม่แตกต่างกันจนกระทั่งไม่ได้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันมากนัก แต่ในปัจจุบันมีแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจและให้ความสำคัญมากนัก คือ การบริหารและการจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management : SCM) เป็นผลจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคดิจิตอล สารสนเทศไอทีและระบบการสื่อสารซึ่งได้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับการดำเนินธุรกิจในภาวะที่มีการแข่งขันที่รุนแรง รวมทั้งการมุ่งเน้นทางด้านของประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหารเวลาในระหว่างขั้นตอนต่างๆ ในทุกกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนจนกระทั่งถึงมือผู้บริโภค ซัพพลายเชนจึงมีบทบาทสูงในการพัฒนาและส่งเสริมสร้างอำนาจการแข่งขันของธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบัน แนวคิดและการบริหารขั้นพื้นฐานจึงเป็นเรื่องที่ควรแก่การวิเคราะห์และเสนอแนะให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจส่วนรวม
การจัดการซัพพลายเชนหรือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
เป็นการจัดลำดับของกระบวนการทั้งหมดที่มีผลต่อการสร้างความพอใจให้กับลูกค้าโดยเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการในขั้นตอนของการจัดซื้อ(Procurement) การผลิต (Manufacturing) การจัดเก็บ (Storage) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) การจัดจำหน่าย (Distribution) และการขนส่ง (Transportation) ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะจัดระบบให้ประสานงานกันอย่างคล่องตัว การจัดการซัพพลายเชนไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรเท่านั้นแต่สำคัญจะสร้างความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับองค์กรอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้จัดหาวิตุดิบ/สินค้า (Suppliers) บริษัทผู้ผลิต (Manufactures) บริษัทผู้จำหน่าย (Distribution) รวมถึงลูกค้าของบริษัทจึงเป็นการเชื่อมโยงกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องด้วยกันเป็นเสมือนห่วงโซ่เครือข่ายให้เกิดการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการ สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าแต่ละหน่วยงานจึงมีความเกี่ยวเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่อุปทานนั้นข้อมูลต่างๆ จะมีการแชร์หรือแจ้งและแบ่งสรรให้ทุกแผนก/ทุกหน่วยงานในระบบรับทราบและใช้งานทำให้หน่วยงานแต่ละหน่วยงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในการประกอบรถยนต์หนึ่งคันแผนกจัดซื้อจะจัดซื้อวัตถุดิบหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์น้ำมัน เครื่องแบตเตอรี่ ยางรถยนต์ ฯลฯ เมื่อสั่งซื้อเสร็จอุปกรณ์ดังกล่าวจะเก็บให้ในคลังสินค้าเพื่อรอสายการผลิตรถยนต์นำไปผลิตรถยนต์ตามที่ต้องการ ถ้าองค์กรนี้มีระบบการจัดการซัพพลายเชนที่ดีหมายความว่าแผนกต่างๆ มีการแชร์หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในกรณีนี้ ข้อมูลดังกล่าว คือ จำนวนวัตถุดิบคงเหลือและปริมาณวัตถุดิบที่ต้องการเพื่อผลิตรถยนต์ในครั้งต่อไปนั่นเองการแชร์ข้อมูลจะทำให้การสั่งซื้อวัตถุดิบเป็นไปด้วยความถูกต้องและมีระบบ บางคนอาจคิดว่าการสั่งซื้อวัตถุดิบมามากเกินไปนั้นไม่มีอะไรเสียหาย วัตถุดิบที่ไม่ใช่ของสดไม่สามารถเน่าเสีย แต่ในกรณีที่มีการสั่งซื้อวัตถุดิบเข้ามาในคลิงสินค้า ต้นทุนในการจัดเก็บและดูแลวัตถุดิบนั้นๆ จะสูงตามไปด้วย เมื่อต้นทุนสูงขึ้นราคารถยนต์ที่ผลิตย่อมสูงตามอาจทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายได้อื่นๆ ดังนั้นในระบบโซ่อุปทานการแชร์ข้อมูลไปยังทุกหน่วยงานในระบบจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ทั้งนี้เมื่อทุกหน่วยงานมีข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถนาไปใช้ได้อย่างมีระบบจะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในแต่ละหน่วยงานในกระบวนการของการผลิตได้ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าที่มีราคาถูกเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ในที่สุด นอกจากนี้แหล่งข้อมูลที่ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อระบบการผลิตอีกแหล่งหนึ่ง คือ ข้อมูลจากผู้บริโภคโดยตรงเนื่องจากฝ่ายการตลาดขององค์กรสามารถรับรู้พฤติกรรมและความต้อการของผู้บริโภคว่าต้องการสินค้าประเภทใดจะได้นำข้อมูลนั้นไปแจ้งให้ฝ่ายผลิตทราบ หลังจากนั้นฝ่ายผลิตจะนำข้อมูลส่งต่อไปให้ฝ่ายจัดซื้ออีกทั้งยังสามารถส่งข้อมูลดังกล่าวไปให้ผู้รับเหมาช่วงต่อๆ กันไปเมื่อรู้จำนวนสินค้าที่ต้องผลิต ผู้จัดหาจะสั่งซื้อสินค้านี้เข้ามาตามจำนวนที่ต้องการโดยไม่จำเป็นต้องสั่งสินค้ามาเก็บไว้ที่คลังสินค้าเป็นเวลานานไม่ต้องนำเงินไปจมไว้กับสินค้านั้นและนอกจากนี้ผู้ที่จะขายสินค้าให้กับ ซัพพลายเออร์ก็สามารถรอค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้เช่นกัน ผลที่เกิดขึ้น คือ แต่ละหน่วยงานและสามารถลดต้นทุนได้เป็นทอดๆไปตลอด ดังนั้นการจัดการซัพพลายเชนจึงสามารถคาดการณ์ความต้องการของตลาดการหาแหล่งวัตถุดิบแกะการจัดซื้อจัดจ้างการบริหารคลังสินค้า การจัดการระบบลอจิสติกส์หรือการส่งกำลังบำรุงในการกระจายสินค้าและการปฏิบัติอื่นๆ ได้หากองค์กรใดสามารถจัดการระบบโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุดก็จะสามารถจัดส่งสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่งด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ตัวอย่าง เช่น ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในระเทศสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการเก็บสินค้าคงคลังไว้มากเกินจำเป็นแต่ต้องการให้มีสินค้าเข้ามาสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันเวลา ห้างสรรพสินค้าจะต้องแชร์ข้อมูลกับผู้จัดหารหรือซัพพลายเออร์เพื่อให้ซัพพลายเออร์นำข้อมูลไปคำนวณหาปริมาณสินค้าชนิดต่างๆ ที่ควรจะผลิตทำให้ไม่ต้องมีสินค้าคงเหลือไว้ในสต๊อกมากเกินไป วิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการเช็คสต๊อกสินค้าก็คือการใช้บาร์โค้ต ณ จุดขาย นั่นคือเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าแล้วนำมาชำระเงิน ณ จุดขาย/พนักงานขายผ่านเครื่องอ่านบาร์โค้ดข้อมูลที่อ่านจะนำไปหักออกจากจำนวนสินค้าคงคลังทันที (Real-Time) เมื่อใดก็ตามที่จำนวนสินค้าคงคลังลดลงถึงจุดที่สั่งซื้อกำหนดไว้ระบบคอมพิวเตอร์จะออกใบสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวไปยังซัพพลายเออร์โดยอัตโนมัติหรือบริษัทผู้ผลิตโดยตรงเพื่อดำเนินการจัดส่งสินค้าให้ทันเวลา
ขั้นตอนการวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
การกำเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชน กล่าวกันว่า มีต้นแบบมากจากการส่งลำเลียงเสบียงอาหารและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่งกำลังบำรุงของกองทัพทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่ต้องการความมั่นใจว่าอาวุธและเสบียงอาหารจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับความต้องการไปยังสถานที่ที่กำหนดอย่างถูกต้องตรงเวลาเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดจึงจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนจัดลำดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยำซึ่งต่อมาแนวคิดดังกล่าวได้นำมาพัฒนาและดัดแปลงใช้กับธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ลูกค้าเพื่อขึ้นด้วยต้นทุนที่ลดลง
Helen Peck และคณะได้กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนการ ซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน (The Baseline Organization)
เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดของบริษัทและองค์กรโดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละฝ่ายซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้อาจไม่สามารถปรับแผนการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดผู้บริโภคเนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างทำงานเป็นอิสระไม่เกี่ยวกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน (The Functionally Integrated Company)
ในระยะนี้องค์การเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัทโดยการในองค์กรได้มีการรวมหน้าที่และลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไวในกลุ่มงานฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่ได้แบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากกันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก เช่น ฝ่ายจัดการวัตถุดิบมีหน้าที่จัดซื้อจัดสรร ควบคุมการใช้วัตถุดิบ และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ฝ่ายจัดการด้านการผลิตมีหน้าที่วางแผนการผลิต การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และควบคุมคุณภาพการผลิตและฝ่ายจัดการหน่วยที่มีหน้าที่วางแผนการตลาดและจัดการขายสินค้าสำเร็จรูปของบริษัท เป็นต้น
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน
(The Internally Integrated Company)
ในระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแชร์และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่ นอกจากนั้นกิจกรรมการผลิตบางอย่างหรือบางขั้นตอนสามารถที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรได้ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกระดับหนึ่ง อาทิฝ่ายการผลิตกับฝ่ายขายอาจต้องมีการออกสำรวจความต้องการของผู้บริโภคไปพร้อมๆ กันเพื่อให้ได้รับรู้ถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคว่าขณะนี้มีความต้องการของผู้บริโภคไปพร้อมๆ กันเพื่อให้ได้รับรู้ถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคว่าขณะนี้มีความต้องการสินค้าประเภทใด ลักษณะใดเพื่อจะได้มีการวางแผนการผลิตให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน
(The Externally Integrated Company)
ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารงานแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัวโดยบริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารแบบซัพพลายเชนภายในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้วและเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางการบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอกโดยเข้าไปทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทำงานเดียวกันเพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบคุณลักษณะของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานซัพพลายเออร์และในบางกรณีบริษัทผู้ผลิตอาจเปิดโอกาสให้ซัพพลายเออร์เข้ามาเปิดสถานีหรือโรงงานย่อยเพื่อนำส่งวัตถุดิบให้กับบริษัทได้อย่างรวดเร็วและประหยัดต้นทุน ส่วนหนึ่งของการบริหารห่วงโซ่อุปทานก็คือการบริหารการตัดสินใจ ตั้งแต่การจัดเตรียมวัตถุดิบถึงการจัดส่งสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าสามารถแบ่งการตัดสินใจดังกล่าวออกเป็น 4แบบ ได้แก่
1.การตัดสินใจในการเลือกแหล่งผลิต แหล่งทรัพยากรและแหล่งจัดเก็บสินค้าคงคลังซึ่งจะพิจารณาถึงขนาดจำนวนและแหล่งที่ตั้งโดยคำนึงถึงเส้นทางการขนส่งให้ถึงมือลูกค้า ต้นทุนการขนส่งรวมถึงต้นทุนการผลิตและภาษี
2.การตัดสินใจในการวางแผนและการจัดลำดับการผลิตรวมทั้งสถานที่ผลิต โดยคำนึงแหล่งที่ตั้งของผู้จัดส่งวัตถุดิบ (Distribution center) และจัดลำดับการผลิตรวมทั้งสถานที่ผลิตโดยคำนึงแหล่งที่ตั้งของผู้จัดส่งวัตถุดิบ (Distribution center)
3.แหล่งตลาดการตัดสินใจในการวางแผนสินค้าคงคลังเพื่อให้สินค้าคงคลังสามารถรองรับความไม่แน่นอน (Demand) ในห่วงโซ่อุปทานได้ ดังนั้นจึงควรมีการจัดการวางแผนควบคุมสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับเหมาะสมและคำนึงถึงความพอใจของลูกค้าและต้นทุนในการจัดการสินค้า
4.การตัดสินใจในด้านการจัดการขนส่งสินค้าซึ่งคำนึงถึงต้นทุนการขนส่งรวมถึงคุณภาพในการขนส่งเทคโนโลยีช่วยในการจัดการซัพพลายเชน การจัดระบบซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพนั้น กล่าวกันว่า มีองค์ประกอบที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นการจัดการในเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่หน่วยที่เป็นต้นทุนทางวัตถุดิบถึงขั้นสุดท้ายของกระบวนการจัดการระบบซัพพลายเชน รวมทั้งการจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้อการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ (Supply Management) และความสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตลาดและที่สำคัญไปกว่านั้น คือ การนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี(Technology) โดยเฉพาะทางด้านไอดีฮาร์แวร์และซอฟแวร์มาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการให้ระบบซัพพลายเชนมีความต่อเนื่องไม่ติดขัดด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเชื่อมต่อกันก่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วและถูกต้องในการจัดเก็บและส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานต่างๆ ในระบบห่วงโซ่อุปทานโดยปัจจุบันเทคโนโลยีที่นิยมใช้ในระบบซัพพลายเชน ได้แก่ การใช้บาร์โค้ค (Barcode) หรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์โดยจะประกอบไปด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อนซึ่งบาร์เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษรสามารถอ่านได้ด้วยเครื่องScanner บาร์โค้ดจึงทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของสินค้า อาทิหมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทำการผลิต เลขหมายเรียงลำดับกล่องเพื่อการขนส่ง ปริมาณสินค้าที่ผลิต รวมถึงตำแหน่งผู้รับสินค้า เป็นต้น เพื่อให้สามารถควบคุมการหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การจัดเก็บและการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบันและความซ้ำซ้อนในการทำงาน ปัจจุบันรหัสสากล (EAN Thailand) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นสถาบันที่ควบคุมดูแลและส่งเสริมการใช้ระบบมาตรฐาน EAN : UCC (ย่อมาจาก European Article Number : Uniform Code Council) ในประเทศไทยซึ่งมาตรฐานดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานสากลที่ทุกอุตสาหกรรมของนานาประเทศใช้กันโดยหมายเลขบาร์โค้ดจะไม่ซ้ำซ้อนกันเพื่อให้สามารถอ้างอิงกลับมายังสินค้าหรือบริการนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
(EDI : Electronic Data Interchange) เป็นเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ
จัดการซัพพลายเชนเป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปแบบของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันตามที่ได้ตกลงกันไว้เรียกว่า EDI message ผ่านเครือข่ายการสื่อสาร (Telecommunication Network) ทำให้เพิ่มความถูกต้องและความรวดเร็วในการทำงานทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูลต่างก็สามารถเข้าถึง EDI message ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์ข้อมูลการสั่งซื้อออกมาเป็นเอกสารทำให้ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสารลดปัญหาการสูญหายและความผิดพลาดเนื่องจากมีระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้อง การใช้ซอฟแวร์Application SCM มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมดทำหน้าที่ประสานงานหลักในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การผลิต และการจัดคลังสินค้า Advanced Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิตใช้เงื่อนไขข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางเวลาให้ดีที่สุด Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จำเป็นในแต่ละจุดเพื่อกระจายการจัดส่งเพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด Transportation Planning เป็นโปรแกรมเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดโดยจะเลือกรูปแบบแผนที่ทางและเลือกผู้ขนส่ง Customer Asset Management ใช้สำหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้า รวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า ประโยชน์การจัดการซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้ครบวงจรซึ่งจะให้ผู้ผลิตซัพพลายเออร์ผู้ค้าปลีกต่างได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันและไม่ควรผลักภาระต้นทุนไปให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อทุกกระบวนการในระบบซัพพลายเชนให้ความร่วมมือกันอย่างจริงจังก็จะช่วยให้การบริหารและการจัดการมีประสิทธิภาพสูงขึ้นสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคธุรกิจการผลิตในด้านต่างๆ อาทิเกิดความสะดวกรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในส่วนต่างๆ ของซัพพลายเชนตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ การผลิตสินค้า การสต๊อกสินค้า การขนส่งการจัดการสินค้าคลคลัง จนกระทั่งถึงการบริการไปยังลูกค้าปลีกและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การขนส่งและการบริการลูกค้าของแต่ละหน่วยงานจะดำเนินงานโดยเกี่ยวเนื่องกันอย่างไม่ขาดตอนช่วยให้ผู้ส่งออกเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโลจิสติกส์ (การบริการจัดการที่เกี่ยวกับการขนส่งการขนถ่ายและลำเลียงสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการผลิตจนถึงขั้นตอนสุดท้าย คือ การส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคเป็นการประหยัดต้นทุนในการขนส่ง) ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ (เป็นขั้นการจัดหาและจัดส่งวัตถุดิบ) จนกระทั่งถึงอุตสาหกรรมปลายน้ำ (เป็นขั้นตอนการจัดจำหน่ายสินค้า) ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ เป็นผลให้ต้นทุนโดยรวมลดต่ำลงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้าและทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นก่อให้เกิดมาตรฐานในการจัดการโลจิสติกส์อันเป็นอันหนึ่งเดียวกันทั่วโลกสะดวกต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเชื่อมโยงไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ซึ่งเป็นการค้าแบบไร้พรหมแดน เนื่องจากการจัดการซัพพลายเชนจำเป็นต้องใช้ระบบ Information Technology ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถสร้างความได้เปรียบในการเพิ่มกำไรเนื่องจากต้นทุนโดยรวมลดลงและสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น เนื่องจากสินค้าเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกๆ องค์กรที่ร่วมมือกันในระบบซัพพลายเชน ซึ่งกิจการที่ดีมักจะสามารถประยุกต์ในวิธีเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ซับซ้อนและมีความก้าวหน้า ความน่าเชื่อถือมากกว่าจะเน้นเรื่องการแข่งขัน ปัจจุบันภาครัฐได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดซัพพลายเชนมากขึ้นโดยสถาบันรหัสสากลภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จัดตั้งศูนย์สาธิตและการศึกษาการจัดการซัพพลายเชิน (Center of Excellence Chain Management) ด้วยการสร้างแบบจำลองกระบวนการดำเนินธุรกิจจริงเพื่อให้ความรู้และสร้างความพร้อมแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยโดยมีเป้าหมายในการให้บริการสมาชิกในสถาบันกว่า 4,000 ราย และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทั่วไปโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) เพื่อให้ได้รับความรู้การจัดการระบบซัพพลายเชนที่นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงแข่งขันขององค์กรในการดำเนินธุรกิจแนวใหม่ ปัจจุบันพบว่ามีบริษัทและองค์กรใหญ่ๆในประเทศได้นำระบบซัพพลายเชนมาใช้บ้างแล้ว
สรุปการดำเนินธุรกิจทั่วๆไปมักจะมีกระบวนการธุรกิจของการจัดการซื้อการผลิตและการจัดจำหน่ายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ เมื่อกระบวนการทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องมาคือการทำงานสำเร็จลุล่วงไปได้โดยเร็วและต้นทุนการดำเนินงานลดลงทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและขจัดอุปสรรคการดำเนินงานจนกระทั่งสามารถแข่งขันกับคู่แข่งหรือปรับตัวให้ทันต่อการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกขณะได้ด้วยความมั่นใจ ปัจจุบันจึงเกิดกระแสการตื่นตาและการตอบรับจากองค์กรธุรกิจทั่วโลกในการนำแนวคิดการจัดการระบบซัพพลายเชน ซึ่งเป็นการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจที่อยู่ต้นน้ำ และปลายน้ำของระบบการผลิตครอบคลุมตั้งแต่ซัพพลายเออร์หรือผู้ขายวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีกไปจนถึงผู้บริโภคโดยเน้นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้และสร้างระบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วที่สุดด้วยต้นทุนที่ต่ำ ดังนั้นการจัดการซัพพลายเชนจึงเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่องค์กรธุรกิจควรเร่งศึกษาทำความเข้าใจ ทั้งนี้เพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ในยุคเศรษฐกิจใหม่ที่เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป ความเป็นไปได้สำาหรับการพัฒนาระบบห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ (Global Supply Chain) ให้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นในอนาคตยิ่งจะส่งผลให้การแข่งขันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ภาคธุรกิจต่างๆ จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวตั้งแต่วันนี้เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
การวิเคราะห์คู่แข่งและการกำหนดกลยุทธ์การแข่งขัน
วิทวัส รุ่งเรืองผล (2551) ธุรกิจกับการแข่งขันเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก ธุรกิจใดที่ทำกำไรงามย่อมเย้ายวนให้มีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกัน หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ประกอบการมองเห็นโอกาสจากความต้องการของตลาด (Demand) ที่มีมากกว่าจำนวนสินค้าที่มีอยู่ (Supply) ทำให้โดดลงมาพัฒนาโครงการพร้อมๆ กันต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่ามีใคร คิดจะทำโครงการในทำเลนั้นๆ บ้างซื้อที่ดินไปแล้วยื่นขออนุญาตจัดสรรที่ดินไปแล้วถึงได้ทราบว่า มีคู่แข่งขันเกิดขึ้นเต็มไปหมดจนอุปทานเกินอุปสงค์อย่างนี้ก็ใครดีกว่าถูกกว่า ขึ้นโครงการเร็วกว่าก็ขายได้หมดก่อน ใครช้าก็จะเกิดปัญหาสต๊อกสินค้าเหลือขณะที่ดอกเบี้ยวิ่งไล่จนขาดทุนยับโดยสถาบันการเงินยึดโครงการ วัฎจักรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปริมาณอุปทาน (Supply) และอุปสงค์ (Demand) ในตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ที่แทบจะทำไม่ได้ทั้งนี้อุปทานในแต่ละโซน แต่ละพื้นที่จะไม่สามารถทดแทนกันได้ปกติแล้วเมื่อพื้นที่ใดมีความต้องการของลูกค้าในอสังหาริมทรัพย์ประเภทและระดับราคาหนึ่งมาก เช่น ความต้องการคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าแต่ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดมีน้อย โครงการที่มีอยู่หรือเปิดตัวช่วงเวลานั้นๆจะถูกจองซื้ออย่างรวดเร็วผู้ประกอบการเมื่อมีสินค้าอยู่จำนวนจำกัดก็จะปรับราคาขึ้นหรือทยอยขายด้วยการเปิดจองช่วงแรกเพียง 30% ของหน่วยขายที่โครงการมีเมื่อขายดีก็จะหยุดขาย ปรับราคาใหม่แล้วเปิดขายส่วนที่เหลือทำให้ได้กำไรสูงขึ้น อสังหาริมทรัพย์เป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เนื่องจากเป็นสินค้าที่นอกจากใช้ประโยชน์แล้วยังมีสภาพเป็นสินค้าทุนหรือเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์ขยับตัวสูงขึ้น ราคาของโครงการในระระที่ 2–3 ซึ่งปรับตัวสูงขึ้น 10–15% จากราคาเปิดตัวในระยะแรกจะกลายเป็นราคาอ้างอิงในตลาดทำให้ผู้ซื้อในระยะแรกรู้สึกพอใจที่ตนซื้อสินค้าได้ในราคาต่ำ ขายใบจองก็สามารถทำกำไรได้ดีจึงโดดเข้ามาซื้อเพิ่มในระยะต่อมาเพื่อเก็งกำไรกดดันให้ต้องรีบตัดสินใจซื้อไม่เช่นนั้นจะต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นทำให้เกิดปรากฎการณ์แย่งกันจองจนบางโครงการสามารถขายอสังหาริมทรัพย์ 200-300 หน่วยราคาต่อหน่วย 2–5 ล้านบาท หมดได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดขายในวันแรกเมื่อธุรกิจขายดีมีกำไรงามของขายหมดอย่างรวดเร็วผู้ประกอบการรายเดิมก็จะนำเงินที่ได้มาขยายหรือเปิดโครงการใหม่ต่อไป ขณะที่คู่แข่งมองเห็นอุปสงค์ที่มากกว่าอุปทานก็จะเร่งพัฒนาโครงการมาขายบ้างจนถึงจุดที่อุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน อัตราการขายจะเริ่มลดลงจนเริ่มฝืดผู้ประกอบการต้องยอมขาดทุนกำไรลดราคาสินคค้าลงทำการส่งเสริมการขายเมื่อราคาตกลงลูกค้าก็ยิ่งไม่ค่อยกล้าตัดสินใจซื้อคิดมากขึ้น ซื้อช้าลงเพราะมองว่าตลาดเป็นของผู้ซื้อหรือช้าอาจได้ราคาต่ำลงหรือของแถมมากขึ้นเมื่อยอดขายฝืดอุปทานใหม่ๆก็จะเกิดช้าลง ตลาดจะกลับมาสู่ภาวะสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ก่อนที่จะกลับมาสู่วัฎจักรเดิมๆ คือ ไม่อุปสงค์ขาดก็อุปทานขาดอีกรอบหนึ่ง นักการตลาดต้องเข้าในรอบของธุรกิจซึ่งแต่ละโซน แต่ละชนิด และแต่ละระดับราคาของอสังหาริมทรัพย์จะมีรอบของวัฏจักรที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเข้าใจและวิเคราะห์ให้ได้ว่ากำลังกำหนดกลยุทธ์สำหรับช่วงใดของวงจรธุรกิจเพื่อให้เกิดกลยุทธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด
5.ประเภทของการเกิดอุบัติเหตุ
ชนิดของอุบัติเหตุภายในบ้าน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นภายในบ้านอาจจำแนกออกเป็นชนิดต่างๆได้ดังนี้
1.การพลัดตกหกล้ม
2.ไฟไหม้น้ำร้อนลวก
3.การถูกของแหลมคม อุปกรณ์และอาวุธปืน
4.การได้รับสารพิษ
5.การได้รับแก๊สหุงต้ม
6.ทางเดินหายใจอุดตัน
7.การจมน้ำ
1.อุบัติเหตุจากการพลัดตกหกล้ม
อุบัติเหตุจากการพลัดตกหกล้ม มักเกิดขึ้นกับเด็กเล็กและผู้สูงอายุทำให้เกิดการบาดเจ็บมีบาดแผล ข้อเคล็ด กระดูกหักหรือแตกได้ หากศีรษะถูกกระแทกที่พื้นสมองอาจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของการพลัดตกหกล้ม
การพลัดตกหกล้มมักมีสาเหตุสำคัญดังต่อไปนี้
1.ความประมาทและขาดความระมัดระวัง มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้านได้อย่างเสมอ เช่น การสะดุดวัตถุสิ่งของที่วางทิ้งไว้บนพื้นห้องหรือขั้นบันได การลื่นไถลบนพรมเช็ดเท้าหรือบนพื้นที่ลื่น การยกของสูงหรือของใหญ่ๆ ขณะเดินขึ้นบันไดโดยมองไม่เห็นขั้นบันได การยืนบนเก้าอี้ หรือวัตถุอื่นที่คลอนแคลน การปีนป่าย การวิ่งเล่นและสะดุดสิ่งของ
2.ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น การวางสิ่งของตามขั้นบันได การวางสิ่งของระเกะระกะ เป็นต้น
3.การขาดการดูแลเอาใจใส่ในการรักษาความสะอาดและการขาดการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ที่ชำรุดเสียหาย เช่น ไม่ทำความสะอาดห้องน้ำทำให้พื้นลื่น พื้นบ้านสกปรกเลอะเทอะ พื้นบ้านหรือบันไดชำรุด เป็นต้น
4.การออกแบบหรือการก่อสร้างที่ไม่ปลอดภัย เช่น พื้นบ้านต่างระดับ สูงบ้าง ต่ำบ้าง
การทำระเบียงที่ไม่มีลูกกรงสูงกั้น การออกแบบลูกกรงบันไดที่ห่างเกินไป เป็นต้น การพลัดตกหกล้มที่พบในเด็กๆ มักเกิดจากการปีนป่ายและการลื่น ส่วนใหญ่ในคนหนุ่มสาวมักเกิดจากการตกจากที่สูง สำหรับผู้สูงอายุอุบัติเหตุมักเกิดจากการลื่นหกล้มโดยเฉพาะในห้องน้ำและบันได
การป้องกันอุบัติเหตุจาการพลัดตกหกล้ม
การป้องกันอุบัติเหตุจาการพลัดตกหกล้มเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการพลัดตกหกล้มควรป้องกันดังนี้
1.การระมัดระวัง ควรระมัดระวังตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน วิ่งเล่น ยกสิ่งของที่หนักหรือใหญ่เกินไปและการหยิบของในที่สูงซึ่งควรใช้บันไดหรือโต๊ะ เก้าอี้ ที่แข็งแรงมั่นคงในการปีน ไม่ควรใช้เก้าอี้ต่อซ้อนกันหลายชั้น
2.การรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ควรรักษาความสะอาดของบ้านเรือน และจัดวางสิ่งของต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ให้กีดขวางทางเดินหรือบันได พื้นบ้านควรเช็ดให้แห้ง นอกจากนั้นควรปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ชำรุดเสียหาย เช่น พื้นบ้านชำรุด บันไดหัก ฝาท่อน้ำแตก เป็นต้น
3.การออกแบบและก่อสร้างบ้าน ควรออกแบบบ้านที่ไม่ยกพื้นบ้านหลายๆ ระดับปูพื้นด้วยไม้และปูพื้นห้องน้ำด้วยกระเบื้องโมเสดชนิดหยาบ พื้นบ้านไม่ควรขัดเป็นมันหรือใช้น้ำมันขัดเงา ออกแบบสร้างบันไดที่ไม่ชัด มีราวบันไดแข็งแรงมั่นคงและมีช่องราวบันไดถี่ๆ เพื่อเด็กจะได้ไม่ลอดหล่อนลงมาขณะที่ลื่นหกล้ม
2. อุบัติเหตุจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
การตายจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก มีประมาณ 1 ใน 5 ของอุบัติเหตุที่เกิดภายในครัวเรือนซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุมีผลให้บุคคลได้รับบาดเจ็บเป็นแผลพุพอง ปวดแสบปวดร้อน ร่างกายทุกข์ทรมาน อันตรายถึงกับเสียชีวิตและสูญเสียทรัพย์สินด้วยโดยอันตรายที่เกิดขึ้นแท้จริง มิได้เกิดจากเปลวไฟแต่เกิดจากควันไฟประมาณกันว่าร้อยละ80 ของคนที่ติดอยู่ในกองเพลิงเสียชีวิต จากการสำลักควันไฟก่อนจะถูกเปลวไฟเผาไหม้ตามร่างกาย
สาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
การเกิดไฟไหม้ น้ำร้อนลวกมีสาเหตุดังนี้
1.ความประมาทเลินเล่อ มักเกิดจากการทิ้งก้นบุหรี่ที่ยังดับไม่สนิทลงในตะกร้าทิ้งเศษกระดาษ การใช้ไม้ขีดไฟแล้วปิดกลักไม่สนิท การจุดธูปเทียนไหว้พระแล้วปล่อยทิ้งไว้ การใช้วัตถุไวไฟ เช่น ทินเนอร์ เบนซิน นำยาซักแห้ง ใกล้ไฟ
2.การขาดความรู้และไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆรวมทั้งการใช้กระแสไฟฟ้ามากเกินไป การใช้ไฟหลายทางพร้อมๆกันจากสายไฟเส้นเดียวหรือใช้เต้าเสียบเดียวกับปลั๊กเสียบหลายตัวซึ่งอาจทำให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเกินกำลังไฟฟ้าช็อตหรือไฟฟ้าลัดวงจรได้
3.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การที่เด็กดึงผ้าปูโต๊ะที่วางกระติกน้ำร้อนทำให้กระติกน้ำร้อนหล่อนลงมาและน้ำร้อนลวกได้ การที่เด็กใช้วัสดุหรือนิ้วมือแหย่ปลั๊กไฟ การที่เด็กเอามือไปแตะที่กาน้ำร้อนหรือของร้อนที่วางไว้ใกล้มือ การเล่นไม้ขีดไฟ ไฟแช็กในเด็กๆ การใช้เบนซินหรือน้ำมันก๊าดสำหรับก่อไฟในการหุงต้ม
4.อุบัติเหตุต่างๆ ได้แก่ อุบัติเหตุจาการแตกรั่วของท่อแก๊สหุงต้มอาหาร อุบัติเหตุจาการใช้ไฟฟ้า เช่น การลัดวงจร การใช้ไฟฟ้าเกินกำลังทำให้ไฟช็อด อุบัติเหตุจากลูกไฟจากปล่องไฟของโรงงานลอบไปตกบนสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิง
5.ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ในขณะที่พายุหรือฝนตกหนัก หากไม่มีสายล่อฟ้าที่ถูกต้องก็จะเกิดไฟไหม้ได้หรือการสันดาปของสารเคมีบางชนิด เช่น ฟอสฟอรัสเหลือง ฟอสฟอรัสขาวที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ
6.สาเหตุอื่นๆ เช่น การวางเพลิง การวางระเบิด การติดต่อลุกลามจากไฟไหม้บริเวณใกล้เคียง เป็นต้น
การป้องกันอุบัติเหตุจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
การป้องกันอุบัติเหตุจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวกมีดังนี้
1.การรู้จักระมัดระวังไม่ประมาท เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ต้องดับให้สนิทเสียก่อน เก็บวัตถุไวไฟในที่ปลอดภัยห่างจากเปลวไฟหรือห้องครัว ไม่สูบบุหรี่ที่เตียงนอน ไม่จุดธูปเทียนไหว้พระทิ้งไว้ ห้ามเด็กเล่นไฟ จุดพลุหรือจุดดอกไม้ไฟเล่นและตรวจสภาพเตาแก๊สและถังแก๊สอยู่เสมอ
2.การศึกษาหาความรู้ ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ อย่างเคร่งครัด เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน มีขนาดเหมาะสมกับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ หมั่นตรวจตราอุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่ดีเสมอ หากชำรุดต้องรีบเปลี่ยนทันที อย่าใช้ไฟฟ้ามากเกินขนาดของสายไฟฟ้าที่มีอยู่และอย่าใช้เต้าเสียบตัวเดียวกับปลั๊กเสียบหลายตัวเพราะกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเต้าเสียบมาก สายไฟจะร้อนจัดและลุกไหม้ได้ นอกจากนั้นเวลาที่จะต่อสายไฟฟ้าหรือเดินสายไฟฟ้าหรือทำการต่อฟิวส์จะต้องยกสะพานไฟก่อนทุกครั้งหรือหากไม่มีความรู้ความชำนาญเพียงพอควรให้ช่างไฟฟ้าเป็นผู้ซ่อมแซมแก้ไข
3.การให้คำแนะนำ บอกหรืออบรมสั่งสอนสมาชิกในบ้านให้รู้จักปฏิบัติตนเพื่อให้ปลอดภัย เช่น แนะนำให้จับตัวปลั๊ก เมื่อจะเสียบหรือถอดปลั๊กไฟ อย่าใช้การดึงหรือกระชากสายไฟ อย่าตอกตะปูทับสายไฟฟ้าหรืออย่าขึงลวดราวตากผ้าทับสายไฟฟ้า เวลาที่มือหรือเท้าเปียกชื้นหรือพื้นที่บริเวณเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นชื้นแฉะหรือเครื่องไฟฟ้าที่ต้องการใช้นั้นเปียกน้ำ ต้องงดการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดทันทีเพราะน้ำเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ดีมากและไม่ควรเล่นว่าวใกล้สายไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งไม่ใช้ไฟฟ้าจับปลาเด็ดขาดเพราะอาจถูกไฟฟ้าดูดเสียชีวิตได้และผิดกฎหมายด้วย
4.การติดตั้งและข้อควรระมัดระวังเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เพื่อความปลอดภัย ควรติดตั้งเต้าเสียบ ให้สูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า 1.20 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเล็กเอานิ้วแหย่เล่นหรือใช้โลหะไชเข้าไป ควรต่อสายลงดินสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ใช้สวิตซ์เต้าเสียบ และขั้วหลอดไฟฟ้าชนิดที่มีฉนวนหุ้มมิดชิด เลือกใช้ฟิวส์ที่มีขนาดเหมาะกับวงจรไฟฟ้าที่ใช้เท่านั้น และไม่ใช้ลวดทองแทนฟิวส์เป็นอันขาด ในการตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทตู้เย็นหรือโทรทัศน์ควรตั้งให้ตู้ห่างฝาเกิน10เซนติเมตร และไม่ควรวางเศษผ้า เศษกระดาษหรือขยะไว้ด้านหลังเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อจะได้ระบายความร้อนได้สะดวกไม่เปลืองไฟฟ้าและป้องกันการลุกไหม้ที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ไม่ควรติดตั้งสวิตซ์ไฟฟ้า เต้าเสียบหรือนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มีเครื่องป้องกันอย่างเพียงพอไว้ภายในห้องน้ำเพราะน้ำเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ดีและไม่ควรติดตั้งสายและอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้กับตู้เลี้ยงปลาด้วย เพราะอาจรั่วได้ หากติดตั้งไม่ถูกต้องและใช้ไม่เหมาะสม ถ้าต้องการนำเครื่องใช้ไฟฟ้านำปั๊มลมมาใช้ควรต่อครอบโลหะลงดิน
สำหรับการป้องกันเพลิงไหม้จากไฟฟ้าซึ่งแผนดับเพลิงพิทักษ์ประชา 29 ได้แนะนำไว้มีดังนี้
- อย่าใช้ลวดทองแดงแทนฟิวส์
- อย่าใช้ฟิวส์ผิดขนาด ไปจากมาตรฐานที่การไฟฟ้ากำหนด
- อย่าใช้ไฟฟ้าเกินขนาดของสายไฟ
- อย่าใช้กระดาษทำโคมไฟ
- อย่าเสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้ เมื่อเลิกใช้ควรถอดออกทุกครั้ง
- อย่าต่อปลั๊กไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายๆ ชนิด ในปลั๊กเดียวกัน
- อย่าเดินสายไฟลอดใต้เสื่อหรือพรม
- อย่านำวัตถุไวไฟใกล้กับแผงสวิทซ์ไฟฟ้า
- ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
- ควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ได้มาตรฐานของสำนักงานมาตรฐาน กระทรวงอุตสาหกรรม
-ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนด้วยความระมัดระวัง
- ควรมีระบบตัดไฟเพื่อป้องกันไฟฟ้าซ๊อตหรือรั่ว
ก่อนออกจากบ้านหรือก่อนเข้านอนทุกคืนควรตรวจดูให้ดีเสียก่อน
1.ธูปเทียนที่จุดเอาไว้
2.เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า
3.เตาแก๊ส
4.ก้นบุหรี่
5. การติดตั้งเครื่องตัดไฟ เครื่องมือตรวจจับความร้อนและควันไฟ (Home Smoke Detectors)ระบบเตือนไฟไหม้ (Fire Warning System) และเครื่องดับเพลิงภายในบ้าน ควรติดตั้งเครื่องป้องกันอันตรายต่างๆไว้ภายในบ้าน เครื่องตัดไฟจะช่วยตัดไฟเมื่อเกิดไฟดูด ไฟรั่ว ไฟช๊อตหรือใช้ไฟมากเกินไฟ ส่วนเครื่องเตือนกลิ่นควันไฟและระบบเดือนไฟไหม้จะช่วยให้ทราบเร็วขึ้นว่าเกิดการลุกไหม้ภายในบ้านแล้ว สมาชิกทุกคนในบ้านจะได้เตรียมพร้อมเพื่อแก้ปัญหาและหาทางออกจากที่เกิดเหตุได้โดยรวดเร็ว สำหรับเครื่องดับเพลิงนั้นควรจัดให้มีเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งเพราะใช้ดับเพลิงได้ทุกประเภทและใช้ในการดับเพลิงขั้นต้นจากกระแสไฟฟ้า ซึ่งต้องหมั่นตรวจสภาพให้พร้อมที่จะใช้ได้ทันทีอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามพึงระลึกเสมอว่าเครื่องป้องกันอันตรายต่างๆ มิใช่บ่งบอกว่าจะไม่เกิดอัคคีภัยเสมอไป สมาชิกทุกคนในบ้านจะต้องรู้จักระมัดระวังอันตรายและตรวจสอบเครื่องป้องกันอันตราย และเครื่องเตือนภัยด้วยความสุขและความปลอดภัยจึงจะบังเกิดขึ้น
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดไฟไหม้ มีดังนี้
1.ให้แจ้งข่าวเพลิงไหม้ทันทีต่อหน่วยดับเพลิงที่อยู่ใกล้บริเวณเกิดเหตุมากที่สุด (สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครแจ้งได้ที่ 199 191 หรือ 123)
2.ควรดับเพลิงด้วยเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งเพราะใช้ดับเพลิงได้ทุกประเภท หากไม่สามารถดับเพลิงขั้นต้นได้ ให้รีบปิดประตูห้องหรือหน้าต่างและอุดท่อต่างๆ ซึ่งจะทำให้ไฟลุกลามช้าลงไฟ จากนั้นให้รีบหาทางออกจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นอาคารสูงให้หนีลงทางบันไดหนีไฟอย่าใช้ลิฟท์เป็นอันขาดเพราะเมื่อไฟฟ้าดังจะติดอยู่ในลิฟท์นั้น
อุบัติเหตุจากการถูกของแหลมคม อุปกรณ์ อาวุธปืน
อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีคมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น เครื่องใช้ในการทำครัวพวกมีด เครื่องบด เครื่องหั่นและเครื่องมือช่างพวกสว่าน ไขควง ค้อน ตะปู รวมทั้งเครื่องมือทำสวนครัว พวกจอบ เสียม คราด เครื่องตัดหญ้า หากใช้โดยไม่ระมัดระวังก็จะเกิดอันตรายได้ สำหรับอาวุธปืนนั้นอันตรายมักเกิดกับเด็กวัยรุ่นหรือผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 5-34 ปี เพราะชอบคึกคะนองและเล่นสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ซึ่งอาวุธปืนนั้นมีผู้ครอบครองจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้องรวมทั้งไม่รู้จักวิธีการเก็บรักษา อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นได้บ่อยจากปืนลั่นหรือการที่เด็กไปหยิบปืนที่มีลูกกระสุนมายิงเล่นกันทำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จากสถิติอุบัติเหตุการตายจากอาวุธปืนที่เกิดขึ้นในบ้านและนอกบ้านของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเกิดขึ้นปีละประมาณ 1,500 ราย เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18ปี ตายจากอุบัติเหตุการใช้อาวุธปืนทุกวันๆ ละ1 คน ซึ่งพบว่าร้อยละ70 ของการเกิดอุบัติเหตุการยิงปืนหรือการลั่นไกในเด็กวัยรุ่นจะเกิดขึ้นขณะที่เด็กอยู่บ้านตามลำพัง
สาเหตุของอุบัติเหตุจากการถูกของแหลมคม อุปกรณ์และอาวุธปืน
1.ความประมาท เนื่องจากขาดความระมัดระวังในการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์หรืออาวุธปืน ทำให้รับบาดเจ็บอันตราย
2.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือความไม่รู้ ไม่มีทักษะในการใช้เครื่องมือหรืออาวุธปืนทำให้เกิดการผิดพลาดเป็นอันตรายต่อผู้นำไปใช้
3.ความอยากรู้ อยากลอง อยากเห็น โดยเฉพาะเด็กผู้ชายหรือเด็กวันรุ่นจึงนำอาวุธปืนมาเล่น หรือทดลองซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
4.การจัดเก็บของแหลมคม อุปกรณ์และอาวุธปืนที่ไม่เป็นระเบียบหรือเก็บไม่มิดชิดทำให้เด็กหรือคนในบ้านได้รับอันตรายหากไปสัมผัสหรือหยิบใช้โดยไม่รู้วิธีการใช้ที่ถูกต้อง
5.การขาดการดูแล หรือสำรวจเครื่องมือเครื่องใช้ของแหลมคมที่ชำรุดจึงไม่มีการนำเครื่องมือที่ชำรุดมาซ่อมแซม แก้ไข เมื่อนำไปใช้ก็จะเกิดอันตรายได้
การป้องกันอุบัติเหตุจากการถูกของแหลมคม อุปกรณ์และอาวุธปืน
วิธีการป้องกันอุบัติเหตุสามารถกระทำได้ดังนี้
1.แม่บ้านหรือหัวหน้าครอบครัว ควรสอนเด็กหรือสมาชิกในบ้านให้รู้จักระมัดระวังไม่ประมาท รู้จักใช้เครื่องมือ อุปกรณ์และของแหลมคมอย่างถูกต้อง เช่น การใช้มีด การถือมีดต้องจับที่ด้ามมีด หันคมมีดออกนอกตัว ให้ปลายมีดชี้ลงด้านล่าง หากจะส่งมีดให้ผู้อื่น ก็ให้จับด้านสันมีดส่งทางด้ามให้ผู้รับ เมื่อใช้มีดแล้วก็ล้างเช็ดให้สะอาด โดยเช็ดมีดทางสันมีด แล้วเก็บในที่เก็บมีด
2.การใช้เครื่องมือของแหลมคมต่างๆ และอาวุธปืน ต้องศึกษาคำแนะนำ และปฏิบัติตาม คำแนะนำอย่างเคร่งครัด ส่วนผู้ที่สนใจเรื่องอาวุธปืน ควรสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสโมสรหรือชมรมยิงปืน เพื่อให้มีความรู้ในเรื่องการใช้อาวุธเป็นเพิ่มขึ้น
3.ควรเก็บอุปกรณ์ของแหลมคมและอาวุธปืนให้เป็นที่เป็นทางห่างไกลมือเด็กสำหรับอาวุธปืนไม่ควรบรรจุกระสุนค้างไว้ในลำกล้องและเก็บไว้มิดชิดไม่ให้เด็กๆ รู้ที่เก็บจะเป็นการดี
4.หมั่นสำรวจอุปกรณ์ของแหลงคมที่ชำรุดเพื่อจะได้ซ่อมแซมแก้ไขก่อนนำไปใช้ใหม่
ข้อแนะนำบางประการสำหรับการป้องกันอุบัติเหตุจากอาวุธปืน
ให้ทุกคนถือเสมือหนึ่งว่าปืนทุกกระบอกมีกระสุนบรรจุอยู่หมั่นตรวจตราลำกล้องปืน เครื่องลั่นไกให้สะอาดเรียบร้อยใช้กระสุนที่ถูกขนาดก่อนยิงควรเช็ดน้ำมันและจาระบีออกจากลำกล้องเสียก่อนการนำปืนไปในที่ต่างๆ เมื่อยังไม่ต้องการยิงต้องเอากระสุนออกให้หมด ถือปากกระบอกชี้ไปในทิศทางที่ปลอดภัย เปิดลูกเลื่อนหารนำไปทางไกลให้บรรจุในชองให้เรียบร้อยการถือปืนให้หันลำกล้องไปในทางทิศทางที่ควบคุมได้ ห้ามไกไว้เสมอจนกว่าจะพร้อมที่จะยิงเล็งเป้าหมายให้แน่นอน อย่าเล็งปืนไปในทิศทางที่ไม่ต้องการยิงโดยเฉพาะการเล็งปืนขู่เพื่อหยอกเย้าอย่าปืนป่ายหรือกระโดดโลดเต้น เมื่อมีปืนที่บรรจุกระสุนอยู่อย่าผสมเหล้ากับดินปืนและอย่าดื่มสุราก่อนหรือระหว่างยิงปืน ควรเก็บปืนโดยเอากระสุนออกแยกไว้ในที่ซึ่งเด็กๆหรือหนุ่มคะนองหยิบไม่ได้
อุบัติเหตุจากการได้รับสารพิษ
สารพิษ หมายถึง สารเคมีที่เข้าสู่ร่างกาย หรือสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแม้เพียงจำนวนเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายเป็นผลให้เกิดความเสียหายหรือถึงแก่ความตายได้
สารมีพิษที่บุคคลในบ้านอาจได้รับอันตราย ได้แก่ ยาฆ่าแมลง ยารักษาโรคทุกชนิด
ยาปราบศัตรูพืช น้ำด่าง น้ำกรด สารที่ใช้ทำความสะอาดต่างๆ แอลกอฮอล์ สีทาบ้าน น้ำมันเบนซิน เชื้อเพลิงเหลวทุกชนิด รวมทั้งอาหารและพืชพันที่ปนเปื้อนด้วยสารมีพิษ
การเข้าสู่ร่างกายของสารมีพิษ
สารมีพิษเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง ดังนี้
1.ทางปาก ได้แก่ การกินเข้าไป
2.ทางจมูก ได้แก่ การหายใจเอาสารที่ระเหยได้อุณหภูมิปกติหรือการหายใจเอาฝุ่นละออง ของโลหะต่างๆ
3.ทางผิวหนัง ได้แก่ การสัมผัสสารมีพิษทางผิวหนังหรือการฉีดสารมีพิษเข้ากล้ามหรือเส้น เลือด เช่น ยาเสพติด
สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากสารมีพิษ
อุบัติเหตุจากสารพิษอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
1.ความประมาณ ความประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดการหยิบของผิด เช่น หยิบยาผิด
2.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อุบัติเหตุอาจเกิดจากความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
3.การจัดสารเคมีหรือสารมีพิษต่างๆ โดยขาดความเป็นระเบียบ รอบคอบ เช่น การเก็บรวมกับของกินหรือเก็บไว้ใกล้มือเด็ก ไม่มีฉลากปิดชื่อและวิธีการใช้สารเคมีนั้นๆ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
วิธีป้องกันอันตรายจากสารพิษ
การป้องกันอันตรายจากสารมีพิษนั้นควรปฏิบัติดังนี้
1.ก่อนใช้ยาและสารเคมี ควรอ่านฉลาก และวิธีการใช้ให้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
2.ไม่ควรหยิบยาหรือสารเคมีมาใช้ขณะที่เมาสุรา
3.ศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับอันตรายและวิธีป้องกันอุบัติเหตุเกี่ยวกับสารมีพิษ
4.เก็บสารมีพิษไว้ในตู้อย่างมิดชิด พ้นมือเด็กและปิดฉลากชื่อและวิธีการใช้สารมีพิษเหล่านั้นด้วย
5.การใช้ยากันยุง ถ้าจำเป็นควรใช้การระบายอากาศดีหรือใช้ขณะที่ไม่มีคนอยู่ในห้อง
วิธีปฏิบัติเมื่อถูกสารมีพิษ
1.เมื่อสารมีพิษเข้าทางปาก
1.1 ควรทำให้อาเจียน โดยให้น้ำอุ่นมากๆหรือล้วงคอ แต่ถ้ากินกรดหรือด่างห้ามให้อาเจียน ถ้าทราบว่ากินกรดเข้าไปให้กินน้ำสบู่อ่อนๆแต่ถ้าทราบว่ากินด่างเข้าไปให้กินน้ำส้มคั้นหรือน้ำส้มสายชูอ่อนๆแล้วรีบส่งแพทย์
1.2 รีบให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
1.3 ถ้าผู้ป่วยหมดสติให้ช่วยเป่าลมเข้าทางปากหรือจมูกแล้วนำส่งโรงพยาบาลถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวให้รีบทำให้อาเจียน
2. เมื่อสารมีพิษเข้าทางจมูก
2.1 ควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีสารพิษ
2.2 ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจสะดวก และเป่าลมเข้าทางปากหรือจมูก
2.3 ให้ยาดมฉุนๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการหายใจ
3.เมื่อสารมีพิษเข้าทางผิวหนัง
3.1 ควรรีบล้างน้ำสะอาดให้มากๆ
3.2 หากถูกกรดต้องล้างด้วยน้ำสะอาดมากๆแล้วล้างด้วยสารละลายอิ่มตัวของโซเดียมไบคาร์บอเนต
3.3. หากถูกด่างต้องล้างด้วยน้ำสะอาดมากๆ แล้วล้างด้วยสารลายกรดน้ำส้ม
3.4 หากกรดหรือด่างเข้าตา ต้องรีบล้างด้วยนำสะอาดและลืมตาในน้ำสะอาดนานๆ แล้วรีบส่งแพทย์
อุบัติเหตุจากการใช้แก๊สหุงต้ม
แก๊สหุงต้มหรือแอลพีจี (LPG = Liquefied Petroleum Gas) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนหรือส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอน 2 ชนิด ได้แก่ โปรเพน (Propane : C3H5) และบิวเทน (Butane : C4H10) ซึ่งเป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วจะกระจายลงสู่ระดับต่ำหากผสมกับออกซิเจนในอากาศและได้รับความร้อนจากประกายไฟจะลุกไหม้ได้ทันที
อันตรายที่เกิดขึ้นมักเกิดจากการที่แก๊สรั่วไหลและการระเบิดของถังแก๊สซึ่งมีผลให้เกิดอาการระคายเคืองของหลอดลมและปอด เนื้อเยื้อถูกทำลายและหย่อยสมรรถภาพ เกิดภาวะขาดอากาศออกซิเจน มีอาการมึนศีรษะ อาจหมดสติและเสียชีวิตได้ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดเพลิงไหม้ อันจะทำอันตรายต่อชีวิตและทำลายทรัพย์สินด้วย
สาเหตุของอุบัติเหตุจากการใช้แก็สหุงต้ม
อุบัติเหตุจากการใช้แก๊สหุงต้มมักมีสาเหตุดังต่อไปนี้
1.การขาดความรู้ความชำนานในการใช้ เช่น การเปิดแก๊สก่อนจุดไฟ (กรณีที่ใช้เตาแก๊สที่ต้องจุดไฟ) เมื่อจุดไฟจะทำให้ไฟลุกพรึบขึ้นเนื่องจากมีปริมาณแก๊สออกมามาก ส่วนกรณีที่ใช้เตาแก๊สที่มีระบบการจุดแบบอัตโนมัติซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน หากเปิดวาล์วที่เตาแก๊สแล้วไฟไม่ติดก็ยังเปิดซ้ำติดต่อกันหลายๆครั้งทำให้มีการสะสมของแก๊สจำนวนมากและไฟอาจลุกได้เช่นเดียวกัน
2.ความประมาทเผลอเรอในการใช้เตาแก๊ส การไม่ระมัดระวังในการประกอบอาหาร เช่น เอื้อมมือข้ามเตาแก๊สเพื่อหยิบสิ่งของต่างๆ อาจทำให้ไฟไหม้เสื้อผ้าหรือร่างกายได้ การใช้เตาแก๊สแล้วลืมปิดวาล์วที่ถังแก๊สหรือการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับและวิธีการใช้แก๊สที่ถูกต้องก็เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้
3.การติดตั้งเตาแก๊สที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง เช่น การติดตั้งในบริเวณที่ไม่มีช่องระบายอากาศเพียงพอ ตั้งถังแก๊สในแนวนอนและตั้งบนพื้นที่ไม่เรียบในที่ชิ้นหรือบริเวณที่มีลมพัดแรง เมื่อใช้ไฟแรงๆ ขณะปรุงอาหารจะทำให้ลมพัดเปลวไฟลุกไหม้ได้
4.การเสื่อมคุณภาพของอุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวกับแก๊ส เช่น ถังแก๊สมีรอยรั่วรอยแตกท่อสายนำแก๊สฉีกขาดหรือรั่วเป็นเหตุให้เกิดการลุกไหม้ขึ้นได้
การป้องกันอุบัติเหตุจากการใช้แก๊สหุงต้ม
การป้องกันอุบัติเหตุจากการใช้แก๊สหุงต้มสามารถกระทำได้ดังนี้
1.ผู้ใช้แก๊สควรศึกษาวิธีการใช้และปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างถูกต้อง เช่น จุดไฟรอที่เตาก่อน แล้วจึงเปิดวาล์วที่เตาแก๊ส สำหรับเตาแก๊สแบบเก่าและเตาแก๊สปิคนิคซึ่งต้องใช้ไม้ขีดไฟหรืออุปกรณ์จุดประกาย ในการติดเตา ส่วนเตาแก๊สระบบการจุดแบบอัตโนมัติหากเปิดวาล์วที่เตาแก๊สแล้วไฟไม่ติดให้หมุนกลับอย่างเปิดติดๆกันโดยที่ไฟไม่ติด การเปิดทิ้งค้างไว้ทำให้แก๊สไหลออกมา ให้หยุดสักครู่แล้วเปิดใหม่ ขณะที่ใช้งานอยู่ควรสังเกตไฟที่หัวเตาว่ายังติดอยู่หรือไม่เพราะอาจมีลมกรรโชกแรงหรือหยดใส่ทำให้ไฟดับได้ หากเกิดกรณีเช่นนี้ควรรอสักครู่และไล่อากาศออกก่อนที่จะจุดเตาใหม่และเมื่อเลิกใช้แก๊สหุงต้มแล้วต้องปิดวาล์วที่เตาแก๊สทุกเตาและหัวถังแก๊สให้สนิททุกครั้ง นอกจากนี้ไม่ควรเคาะ กระแทกหรือกลิ้งถังแก๊ส หากต้องการเปลี่ยนถังแก๊สใหม่ควรเปลี่ยนจากร้านจำหน่ายแก๊สหุงต้มโดยตรง ไม่ควรนำถังแก๊สไปเติมตามปั๊มน้ำมันเพราะเสี่ยงต่อการระเบิดของตัวถังถ้าบรรจุในปริมาณและความดันที่ไม่ถูกต้อง
2.ควรเลือกใช้เตาแก๊ส ถังแก๊ส และท่อนำแก๊สที่มีมาตรฐานในด้านความปลอดภัย ถังแก๊สมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ตัวถังใหม่ไม่มีสนิม ไม่มีรอยบุหรือกัดกร่อน
3.ควรตั้งถังแก๊สและเตาแก๊สไว้บนพื้นที่เรียบแข็งแรง มั่นคงและที่มีการระบายอากาศได้สะดวก สำหรับถังแก๊สให้วางในแนวตั้งเสมอและห่างจากเตาแก๊สประมาณ 1 เมตรเป็นอย่างน้อย ส่วนเตาแก๊ส ควรตั้งให้สูงกว่าหรืออย่างน้อยอยู่ในระดับเดียวกับหัวถังแก๊สเพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนจากเตาทำลายสายส่งแก๊ส และไม่ควรตั้งเตาแก๊สไว้ในบริเวณที่มีพัดลมพัดแรงเพราะถ้าเปิดไฟ แรงลมอาจพัดเปลวไฟให้ลุกไหม้ได้
4.ควรใช้ภาชนะให้มีขนาดพอเหมาะกับหัวเตาและภาชนะก้นแบบประกอบอาหาร รวมทั้งตั้งภาชนะให้ตรงกึ่งกลางเตา ทั้งนี้ให้เปลวไฟแผ่ไปทั่วก้นภาชนะทำให้ความร้อนกระจายทั่วถึง
5.ควรดูแลรักษาถังแก๊ส สายนำแก๊ส ลิ้นปิดเปิด หัวเตา หัวปรับให้อยู่ในสภาพปลอดภัยเสมอ หากพบว่าส่วนใดชำรุดควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือใช้ช่างชำนาญมาช่วยตรวจสอบ นอกจากนี้ควรทำความสะอาดเตาแก๊สทุกครั้งเมื่อเลิกใช้ ส่วนหัวเตาและพื้นเตาด้านบนให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำสบู่ ค่อยๆเช็ดทำความสะอาดแล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดให้สะอาดอีกครั้ง ถ้ามีเศษอาหารเลอะข้างเตาก็ควรเช็ดทำควรทำความสะอาดทุกครั้งไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
6.ควรติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับป้องกันแก๊สรั่วและมีมิเตอร์บอกปริมาณแก๊สที่เหลือในถังเพื่อทำความสะอาดและความปลอดภัย นอกจากนั้นควรควรติดตั้งเครื่องเตือนภัยเมื่อเกิดแก๊สรั่ว (Gas Leak Detector) ไว้ในบริเวณที่ใช้แก๊สด้วยเพื่อจะได้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดแก๊สรั่ว
เมื่อได้กลิ่นแก๊สหรือเกิดการรั่วของแก๊สควรปฏิบัติดังนี้
1.รีบปิดวาล์วแก๊สที่ถังแก๊สและที่เตาแก๊สทันที
2.ห้ามจุดไม้ขีดไฟ สูบบุหรี่และเปิดหรือปิดสวิทซ์ไฟฟ้าทุกชนิดเพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟและแก๊สระเบิดได้
3.เปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อระบายแก๊สออกโดยเร็ว อากาศถ่ายเทได้สะดวก ปกติแก๊สจะหนักกว่าอากาศในการทำให้แก๊สระบายออกเร็วกว่าปกติจึงควรใช้ไม้กวาดอ่อนๆ พัดสูงเหนือพื้นเล็กน้อยโดยพัดเร็วๆจะช่วยระบายแก๊สได้เร็วกว่า การที่จะให้แก๊สระเหยออกไปเองหรือใช้น้ำพรมทั่วๆก็ได้ แต่ห้ามใช้พัดลมช่วยระบายอากาศโดยเด็ดขาด
4.ตรวจสอบหาจุก โดยใช้นำสบู่ทาบริเวณที่สงสัยหรือลูบไปตามสายส่ง หากรั่วจริงจะเห็นเป็นฟองสบู่ปุดขึ้นมาให้รีบแก้ไขโดยด่วน ถ้าแก้ไขไม่ให้ผู้จำหน่ายแก๊สหรือช่างมาปรับปรุงแก้ไข กรณีมีไฟลุกขึ้นที่ถังให้ใช้น้ำสาดไปที่ติดไฟแรงๆทันทีหรือใช้เครื่องดับเพลิงชนิดเคมีแห้ง
อุบัติเหตุจากทางเดินหายใจอุดตัน
อุบัติเหตุจากทางเดินหายใจอุดตัน มักเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุซึ่งอาจเกิดจากการกระทำของตนเองหรือผู้อื่นกระทำโดยการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เข้าจมูกเข้าหู เข้าปากหรือเกิดจากการสำลักอาหารทำให้ทางเดินหายใจอุดตัน หายใจไม่ออกและอาจเสียชีวิตได้จากสถิติในสหรัฐอเมริกา พบว่ามีรายงานการตายจากหลอดลมอุดตัน 558 ราย ในประเทศอังกฤษมีการตายจากเศษอาหารอุดตัน 341 ราย (ร้อยละ59.3 ) ส่วนในประเทศไทย ยังไม่มีสถิติที่แน่นอนแต่เชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
การเกิดการอุดตันของระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินหายใจอุดตันเกิดขึ้นได้จากหลายกรณีด้วยกันดังนี้
1.เกิดจากสิ่งแปลกปลอม เข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2.เกิดจากการสำลัก
3.เกิดจากการปิดกั้นทางเดินหายใจ
สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
สิ่งแปลกปลอมที่เข้าส่วนต่างๆของร่างกายมีดังนี้
1.สิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น น้ำสบู่ น้ำผงซักฟอก ยาทาเล็บ เศษผง ฝุ่นละออง เศษวัตถุ ใบไม้ ไม้แหลมทิ่มตา ไส้ดินสอเข้าตา เป็นต้น
2.สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก เช่น เม็ดกระดุม ลูกปัด เมล็ดพืช เมล็ดผลไม้ แมลง ก้อนหิน
3.สิ่งแปลกปลอมเข้าทางเดินหายใจโดยเฉพาะในกล่องเสียง หลอดลม เช่น ของเล่นที่ทำด้วยพลาสติกชิ้นเล็กๆที่ทำเป็นรูปร่างต่างๆ
4.สิ่งแปลกปลอมเข้าหู ได้แก่ พวกแมลงต่างๆ เมล็ดพืช เมล็ดผลไม้ เม็ดโฟม เศษกระดาษ ลูกปัด เมล็ดนุ่น ยางลบ เป็นต้น
5.สิ่งแปลกปลอมเข้าปาก เช่น การกลืนอาหารแข็งในเด็กเล็กเป็นครั้งแรก การกลืนลูกอม ทอฟฟี่ ลูกกระดุม เหรียญบาท เหรียญของเล่น หรือการที่สิ่งแปลกปลอมติดค้างอยู่ในลำคอและหลอดอาหาร เช่น ลวดเย็บกระดาษ ไม้กลัด ก้างปลา เศษกระดูก ฟันปลอม เป็นต้น
การสำลัก
การสำลักเกิดขึ้นได้จากการสำลักอาหาร
ในเด็ก
อาจเกิดจากการรับประทานอาหารเร็วเกินไปหรือมากเกินไป เคี้ยวไม่ทัน รีบกลืนหรือเด็กกระโดดโลดเต้นขณะเคี้ยวอาหาร
ในคนสูงอายุ
การสำลักอาหารมักเกิดจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดหรือฟันปลอมหลุดลงไปทำให้ทางเดินหายใจอุดตัน
ในคนหนุ่มสาว
โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา พบว่า มีอาการสำลักหายใจไม่ออกปีละประมาณ 4,000 ราย ซึ่งมักเกิดหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ โดยการรับประทานอาหารชิ้นโต ขณะพูดหรือหัวเราะ
การปิดกันทางเดินหายใจ
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอจากการที่ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นหรือุดตันซึ่งพบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5-6 ปี เด็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกผ้าอ้อม เสื้อผ้าของตนเอง ผ้าห่ม หรือผ้าปูที่นอนปิดหน้า จนหายใจไม่ออกและถึงแก่ความตาย นอกจากนี้การเล่นถุงพลาสติกของเด็กในการปิดปากปิดจมูกหรือครอบศีรษะให้เด็กหายทำใจไม่ออกและตายได้ การเข้าไปเล่นในกล่องพลาสติก ตู้เสื้อผ้าแล้วปิดตัวอยู่ในนั้น หรือเล่นในกระโปรงรถยนต์ แล้วถูกปิดโดยไม่ทราบว่ามีคนอยู่ข้างใน
สาเหตุของอุบัติเหตุจากทางเดินหายใจอุดตัน
สาเหตุของอุบัติเหตุจากทางเดินหายใจอุดตันสาเหตุอาจเกิดขึ้นได้ดังนี้
1.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดความรู้ เช่น ในเด็กมักนำสิ่งแปลกปลอมต่างๆเข้าจมูก เข้าปาก เข้าหู โดยไม่ทราบอันตรายที่จะเกิดขึ้น
2.การขาดความระมัดระวัง เช่น รับประทานอาหารอย่างรวดเร็วทำให้เกิดติดคอ การเคี้ยวไม่ละเอียด การกลืนโดยไม่เคี้ยว การหัวเราะ ร้องไห้ หรือพูดคุยคณะรับประทานอาหาร การเล่นของเด็ก โดยการเอาของเล่นที่เป็นโลหะหรือพลาสติกเล็กๆ มาอมหรือสอดเข้าไปในจมูกหรือเอาเมล็ดน้อยหน่าสอดเข้าไปในรูหู เป็นต้น
3.เหตุสุดวิสัย ทางเดินหายใจอุดตันได้เนื่องจากการที่แมลงเข้าไปในจมูกหรือในรูหู เช่น แมลงสาบ เป็นต้น หรือการรับประทานเส้นบะหมี่ซึ่งมีความเหนี่ยวลื่นและเส้นยาวๆ ของผู้สูงอายุ โดยรับประทานเข้าไปจำนวนมาก จึงเกิดการติดคอและอุดตันทางเดินหายใจทำให้เสียชีวิตได้ซึ่งก็เคยมีปรากฏตามข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว
การป้องกันอุบัติเหตุจากทางเดินหายใจอุดตัน
เพื่อมิให้เกิดการอุดตันของระบบทางเดินหายใจควรจะปฏิบัติดังนี้
1.ถ่ายทอดความรู้หรือให้คำแนะนำสั่งสอนสมาชิกในบ้านโดยเฉพาะเด็ก โดยสอนให้รู้จักอันตรายและไม่ให้นำสิ่งแปลกปลอมเข้าส่วนต่างๆของร่างกาย
2.การรู้จักระมัดระวัง ควรระมัดระวังการรับประทานอาหาร ไม่หัวเราะหยอกล้อกันขณะรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้ปากกัด ขณะที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ไม่นำสิ่งของหรือของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่เด็กอาจนำเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายมาให้เด็กเล่นและในขณะที่เด็กๆเล่น ควรมีผู้ใหญ่หรือพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่ด้วย นอกจากนั้นไม่ควรให้เด็กเล็กรับประทานผลไม้ที่มีเมล็ดมากๆโดยไม่เอาเมล็ดออกก่อน เช่น มะขาม น้อยหน่า องุ่น เป็นต้น ทางที่ดีก็ไม่ควรซื้อมารับประทานโดยเฉพาะน้อยหน่า เพราะเมล็ดน้อยหน่าอาจจะหล่นที่พื้นขณะรับประทานแล้วไม่ได้เก็บทิ้ง เมื่อเด็กเล็กๆมาพบก็อาจหยิบเข้าปาก เข้าจมูก ซึ่งเป็นอันตรายมากที่เดียว สำหรับถุงพลาสติกควรเก็บให้มือชิดและควรจะนำถุงพลาสติกออกจากห้องเลี้ยงเด็กทารกให้หมด
อุบัติเหตุจากการจมน้ำ
อุบัติเหตุจากการจมน้ำ มักเกิดจากการจมน้ำในอ่างอาบน้ำ สระว่ายน้ำในบ้านหรือบ่อน้ำ บ่อเลี้ยงปลา ซึ่งพบมากในกลุ่มเด็กทารกถึงเด็กอายุ 4 ปี การพลัดตกหรือจมน้ำโดยร่างกายขาดออกซิเจนเพียงไม่กี่นาทีก็ทำให้สมองได้รับอันตรายอย่างถาวรหรือตายได้ ในประเทศเม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่นมีจำนวนคนจมน้ำตายสูงที่เมืองเตหะราน พบว่ามีคนจมน้ำตายร้อยละ28 ของการตายที่ไม่ใช่อุบัติเหตุจากจราจรและการจมน้ำเป็นสาเหตุการตายของทารกสูงถึงร้อยละ65
สาเหตุการจมน้ำ
การจมน้ำที่เกิดขึ้นมักมีสาเหตุดังนี้
1.การขาดความระมัดระวัง เช่น การลื่นหกล้มของผู้สูงอายุที่อาบน้ำในอ่างทำให้เกิดหมดสติและจมน้ำตาย การพลัดตกลงไปในบ่อน้ำหรือสระว่ายน้ำในบ้าน การปล่อยให้เด็กทารกหรือเด็กเล็กอาบน้ำ หรือเล่นน้ำตามลำพัง แม้เพียงเวลา 2-3 นาที ก็อาจทำให้เด็กสำลักและจมน้ำตายได้
2.การเล่น การหยอกล้อกัน ความคึกคะนองทำให้พลัดตกลงไปในบ่อน้ำหรือสระว่ายน้ำได้ และหากว่าบ่อลึกและว่ายน้ำไม่เป็นด้วยก็จะทำให้จมน้ำถึงแก่ความตายได้
การป้องกันอุบัติเหตุจาการจมน้ำ
วิธีการป้องกันอุบัติเหตุจากการจมน้ำสามารถกระทำได้ดังนี้
1.การเพิ่มความระมัดระวังในการอาบน้ำ ใช้น้ำบ่อหรือว่ายน้ำในสระว่ายน้ำจะต้องระมัดระวัง ในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุจะต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ใกล้ชิดหรือคนเลี้ยงควรดูและไม่ปล่อยให้เด็กเล็กอยู่ในห้องน้ำตามลำพัง
2.ไม่หยอกล้อกันเล่นบริเวณใกล้บ่อน้ำหรือสระว่ายน้ำเพราะอาจพลัดตกลงไปได้ โดยเฉพาะผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นจะจมน้ำตายได้
3.ควรหัดให้เด็กว่ายน้ำเป็น
4.หากเป็นไปได้ไม่ควรติดตั้งอ่างอาบน้ำ สระว่ายน้ำ หรือบ่อน้ำไว้ในบ้านเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการพลัดตกลงไปและจมน้ำ
6.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเกิดอุบัติเหตุ
อุบัติเหตุภายในบ้านอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุที่สำคัญ 2 ประการ ดังนี้
1.ปัจจัยเกี่ยวกับบุคคล
2.ปัจจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
1.ปัจจัยเกี่ยวกับบุคคล
อุบัติเหตุภายในบ้านเกิดจากบุคคลเป็นสำคัญซึ่งอาจเกิดจากตนเองหรือบุคคลอื่นก็ได้ สาเหตุเกี่ยวกับบุคคลจะเกี่ยวกับสถานภาพทางร่างกาย สภาพทางจิตใจ พื้นฐานความรู้ของแต่ละบุคคลและการกระทำของบุคคล
1.1 สภาพร่างกาย ได้แก่ ความผิดปกติ หรือความบกพร่องทางร่างกาย การเกิดโรคภัยไขเจ็บต่างๆ เช่น ความผิดปกติของแขนขา การเป็นไข้ หูหนวก ตาบอด ความไม่สมบูรณ์ของร่างกาย เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หรือเสื่อมสมรรถภาพของร่างกาย การเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคลมชัก เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
1.2 สภาพจิต ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัวกลุ่มใจ อารมณ์โกรธ หรือการมีอารมณ์ที่ไม่ปกติ ทำให้บุคคลขาดความรอบคอบ มีอาการลุกลน รีบร้อน ไม่ระมัดระวังตัวในการป้องกันอุบัติเหตุ
1.3 พื้นฐานความรู้ ได้แก่ การไม่มีพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุ การขาดความรู้ หรือไม่เอาใจใส่ในการศึกษาหาความรู้ และการไม่ศึกษาคำแนะนำต่างๆ ก่อนการใช้สารเคมี เครื่องมือ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เสมอ
1.4 การกระทำของบุคคล ได้แก่ การกระทำที่ไม่ปลอดภัยของบุคคล เช่น ความประมาทเลินเล่อ ความรีบเร่ง การดื่มสุรา การกินยาแก้ง่วง
2.ปัจจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน ได้แก่ ตัวบ้าน บริเวณบ้าน และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน
2.1 ตัวบ้าน ได้แก่ การออกแบบบ้าน การก่อสร้าง และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง ที่ไม่เป็นไปตามเทศบัญญัติการก่อสร้างอาคารที่ถูกต้องตามหลักสุขลักษณะ และหลักสุขาภิบาล จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
2.2 บริเวณบ้าน ได้แก่ สนามหญ้า รั้วบ้าน ทางเดินที่สกปรกกรุงรัง หญ้าขึ้นรกอาจเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้าย บริเวณบ้านที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มีเศษวัสดุ เศษแก้ว เศษกระเบื้อง ท่อระบายน้ำที่ไม่มีฝาปิดมิดชิดย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
2.3 อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่นมีด เครื่องบด เครื่องเป่าผม เครื่องซักผ้า หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ชำรุดหากนำมาใช้ หรืออุปกรณ์ที่ผู้ใช้ไม่รู้จักวิธีใช้หรือไม่ปฏิบัติตาม คำแนะนำในการใช้ที่ถูกต้องก็จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เสมอ
อุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านย่อมทำให้ร่างกายได้รับอันตราย เกิดการบาดเจ็บพิการ หรือเสียชีวิตได้ซึ่งผลของอุบัติเหตุ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อรางกายและจิตใจแล้วยังก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินอีกด้วย
วิธีป้องกัน
การป้องกันอุบัติเหตุในบ้านหรือที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นตึกแถว แฟลต อาคารชุดต่างๆ สิ่งสำคัญก็คือ การที่ทุกคนตระหนักถึงอันตราย ทราบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุและมีความปรารถนาความเต็มใจในการที่จะป้องกันหรือความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลงซึ่งวิธีการป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน อาจกระทำได้ดังต่อไปนี้
1.การป้องกันในด้านบุคคล
2.การป้องกันในด้านสิ่งแวดล้อม
การป้องกันในด้านบุคคลการป้องกันอุบัติเหตุในด้านบุคคลสามารถกระทำได้ดังนี้
1.การศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับอันตราย สาเหตุและการป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน
2.การรักษาสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หากสภาพร่างกายบกพร่องก็ควรรีบแก้ไข เช่น สายตาสั้น หูพิการ เป็นต้น
3.การทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ หากเจ็บป่วยหรือไม่สบายใจ ควรหยุดพักไม่ควรทำกิจกรรมใดๆ ภายในบ้าน
4.การระมัดระวังในการทำงาน มีสติ และทำงานด้วยความตั้งใจจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้
5.การฝึกอบรม หรือให้ความรู้ในการปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยในบ้าน ได้แก่ สมาชิกทุกคนในบ้านโดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ
การป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม การป้องกันอุบัติเหตุในบ้านในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถกระทำได้ดังนี้
1.การออกแบบบ้าน เครื่องใช้ภายในบ้านและการก่อสร้างควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ บ้านไม่ควรสร้างติดถนนใหญ่ ประตูทางเข้าไม่ควรมีมุมอับหรือมีต้นไม้ใหญ่ใกล้ตัวอาคาร ควรออกแบบบ้านให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ การก่อสร้างจะต้องถูกต้องตามกฎเกณฑ์ทางด้านวิศวกรรมรวมทั้งใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความแข็งแรง คงทน สวยงามและไม่เป็นเชื้อเพลิงได้ง่าย
2.การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการออกแบบบ้านที่ถูกสุขลักษณะ และปลอดภัย กฎหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้าน กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้าน กฎหมายเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เพื่อความปลอกภัย เป็นต้น ทั้งนี้จะต้องให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามกำหมายอย่างเคร่งครัดและมีบทลงโทษเมื่อกระทำผิดกฎหมายด้วย
3.การจัดวางสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แยกเป็นหมวดหมู่ และแยกเป็นสัดส่วน โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ที่แหลมคมเป็นอันตราย ควรให้พ้นมือเด็ก
4.การดูแลบำรุงรักษาบ้าน บริเวณบ้านและสนามหญ้าให้สะอาดถูกสุขลักษณะไม่สกปกรกรุงรัง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคและที่อยู่อาศัยของสัตว์และไม่เป็นหลุมบ่อ
5.การสำรวจความปลอดภัยที่บ้าน ควรจัดทำแบบสำรวจความปลอดภัยที่บ้านเพื่อเป็นการตรวจ สภาพแวดล้อมภายในบ้าน บริเวณบ้าน ห้องต่างๆและเครื่องมือเครื่องใช้ หากพบว่าอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย หรือมีการชำรุดทรุดโทรมก็จะได้แก้ไขหรือซ่อมแซมเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
7.สาเหตุของการเกิดอุบัติ
H.W. Heinrich เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้ศึกษาถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุอย่างจริงจังในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆในปีค.ศ.1920 ผลจากการศึกษาวิจัยสรุปได้ดังนี้
สาเหตุของอุบัติเหตุที่สำคัญมี 3 ประการ ได้แก่
1.สาเหตุที่เกิดจากคน (Human Causes)
มีจำนวนสูงที่สุด คือ 88% ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง ตัวอย่าง เช่น การทำงานที่ไม่ถูกต้อง ความพลั้งเผลอ ความประมาท การมีนิสัยชอบเสี่ยงในการทำงาน เป็นต้น
2.สาเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของเครื่องจักร (Mechanical failure)
มีจำนวนเพียง 10% ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น ส่วนที่เป็นอันตรายของเครื่องจักรไม่มีเครื่องป้องกัน เครื่องจักรเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ชำรุดบกพร่อง รวมถึงการวางผังโรงงานไม่เหมาะสม สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ปลอดภัย เป็นต้น
3.สาเหตุที่เกิดจากดวงชะตา (Acts of God)
มีจำนวนเพียง 2% เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินอกเหนือการควบคุมได้ เช่น พายุ น้ำท่วม ฟ้าผ่า เป็นต้น
จากผลการศึกษาวิจัยข้างต้น H.W. Heinrich ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Industrial Accident Prevention ในปี ค.ศ.1931 ซึ่งเป็นการปฏิบัติแนวความคิดเดิมเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุหรือเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงานอย่างสิ้นเชิง เขาได้สรุปสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุเป็น 2 ประการ ได้แก่
1. การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Acts)
เป็นสาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ คิดเป็นจำนวน 85% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด
2. สภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Conditions)
เป็นสาเหตุรอง คิดเป็นจำนวน 15% เท่านั้น
อุบัติเหตุภายในบ้าน
อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุที่สำคัญ 2 ประการ ดังนี้
1.สาเหตุเกี่ยวกับบุคคล
2.สาเหตุเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
1.สาเหตุเกี่ยวกับบุคคล
อุบัติเหตุภายในบ้านเกิดจากบุคคลเป็นสำคัญซึ่งอาจเกิดจากตนเองหรือบุคคลอื่นก็ได้สาเหตุเกี่ยวกับบุคคลจะเกี่ยวกับสถานภาพทางร่างกาย สภาพทางจิตใจ พื้นฐานความรู้ของแต่ละบุคคลและการกระทำของบุคคล
1.1 สภาพร่างกาย ได้แก่ ความผิดปกติ หรือความบกพร่องทางร่างกาย การเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น ความผิดปกติของแขนขา การเป็นไข้ หูหนวก ตาบอด ความไม่สมบูรณ์ของร่างกาย เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหรือเสื่อมสมรรถภาพของร่างกาย การเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคลมชัก เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
1.2 สภาพจิต ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัวกลุ่มใจ อารมณ์โกรธหรือการมีอารมณ์ที่ไม่ปกติทำให้บุคคลขาดความรอบคอบ มีอาการลุกลน รีบร้อน ไม่ระมัดระวังตัวในการป้องกันอุบัติเหตุ
1.3 พื้นฐานความรู้ ได้แก่ การไม่มีพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุ การขาดความรู้หรือไม่เอาใจใส่ในการศึกษาหาความรู้และการไม่ศึกษาคำแนะนำต่างๆ ก่อนการใช้สารเคมี เครื่องมือ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เสมอ
1.4 การกระทำของบุคคล ได้แก่ การกระทำที่ไม่ปลอดภัยของบุคคล เช่น ความประมาทเลินเล่อ ความรีบเร่ง การดื่มสุรา การกินยาแก้ง่วง
2. สาเหตุเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน ได้แก่ ตัวบ้าน บริเวณบ้าน และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน
2.1 ตัวบ้าน ได้แก่ การออกแบบบ้าน การก่อสร้างและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามเทศบัญญัติการก่อสร้างอาคารที่ถูกต้องตามหลักสุขลักษณะและหลักสุขาภิบาลจึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
2.2 บริเวณบ้าน ได้แก่ สนามหญ้า รั้วบ้าน ทางเดินที่สกปรกกรุงรัง หญ้าขึ้นรกอาจเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้าย บริเวณบ้านที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มีเศษวัสดุ เศษแก้ว เศษกระเบื้อง ท่อระบายน้ำที่ไม่มีฝาปิดมิดชิดย่อมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
2.3 อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่น มีด เครื่องบด เครื่องเป่าผม เครื่องซักผ้า หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ชำรุดหากนำมาใช้หรืออุปกรณ์ที่ผู้ใช้ไม่รู้จักวิธีใช้หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ที่ถูกต้องก็จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เสมอ
อุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านย่อมทำให้ร่างกายได้รับอันตรายเกิดการบาดเจ็บพิการ หรือเสียชีวิตได้ ซึ่งผลของอุบัติเหตุ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อรางกายและจิตใจแล้วยังก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินอีกด้วย
8.หลักสำคัญในการสร้างบ้าน
บ้านเป็นคำที่มีความหมายมากกว่าที่อยู่อาศัยหรือที่หลบแดดหลบฝน สำหรับคนส่วนใหญ่มันหมายถึงความฝันและชีวิตทั้งชีวิตของเขา
ดังนั้นก่อนที่เราจะสร้างบ้านในฝันของเราสักหลัง เราก็ควรจะเข้าใจความต้องการของตัวเอง รวมถึงสิ่งที่จำเป็นต่างๆ ที่จะทำให้บ้านของเราเป็นเหมือนที่พักกายและที่พักใจในยามที่เราพักจากความเหน็ดเหนื่อยของการงานประจำอย่างแท้จริง
1.สถานที่ตั้งบ้าน
ความสำคัญของสถานที่ตั้งบ้านนั้นเป็นความสำคัญอันดับแรกที่เราต้องคิดก่อนจะสร้างบ้าน เนื่องจากเราจำเป็นต้องคิดถึงการเดินทางระหว่างบ้านไปยังที่ทำงาน โรงเรียน ตลาด ศุนย์การค้า สถานีรถไฟฟ้า ราคาที่ดิน เป็นต้น ในสมัยก่อนทำเลที่ดี คือ ทำเลที่ต้องอยู่กลางเมืองเนื่องจากระบบรถสาธารณะยังไม่ครอบคลุมเหมือนอย่างปัจจุบันทำให้ผู้คนต่างก็ไปกระจุกกันอยู่ในเมืองเพียงอย่างเดียวผิดกับปัจจุบันที่ทำเลที่ดี คือ ทำเลที่อยู่ไกล้รถไฟฟ้า ก่อนที่เราจะคิดถึงการสร้างบ้านเราจึงควรมองหาบริเวณที่เราสามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะเหล่านี้ได้อย่างสะดวกที่สุด รวมถึงความปลอดภัยของย่านที่อยู่ที่ต้องไม่ดูเปลี่ยวจนเกินไปในเวลากลางคืนอีกด้วย เช่น การซื้อบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านอาจจะรู้สึกอุ่นใจกว่าการสร้างบ้านเดียวที่แต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันเยอะๆ เป็นต้น และอย่าคาดหวังกับโครงการต่างๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่หรือเกิดจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เช่น บริเวณนั้นจะมีรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ผ่านทางด่วนหรือถนนหนทางผ่าน เพราะเราไม่อาจรับรองได้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ (นอกจากการซื้อเพื่อเก็งกำไร)
2.การถมดิน
จะถมดินสูงแค่ไหนดีนะอันนี้เป็นคำถามยอดฮิตก่อนการสร้างบ้านเลยทีเดียว บางคนบอก 50 ซม บ้างก็ว่า 30 ซม ก็พอแล้วบางคนบอก 1 เมตรไปเลย แล้วจริงๆมันควรถมเท่าไหร่หละ คำตอบของเรื่องนี้คือ แล้วแต่ความชอบครับไม่มีการกำหนดที่แน่นอนเพียงแต่มันจะต้องสูงกว่าระดับถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยางหน้าบ้านเรา ประมาณ 50 ซม ก็เพียงพอ แต่ถ้าถนนหน้าบ้านเป็นถนนดินแดงก็ให้เพิ่มความสูงของระดับดินถมเป็น 1 ม. เพื่อเป็นการรองรับความสูงของถนนที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการลาดยางหรือทำถนนคอนกรีตในอนาคตนั้นเอง อีกปัจจัยหนึ่งคือระดับน้ำท่วมสูงสุดในบริเวณนั้น ถ้าสามารถหาข้อมูลได้เราก็ควรถมที่ดินให้สูงกว่าระดับดังกล่าวประมาณ 50 ซม.ขึ้นไป
การถมดินเพื่อสร้างบ้านเจ้าของบ้านจำเป็นต้องเผื่อการยุบตัวของดินด้วย คือ เพิ่มปริมาณดินถมสูงขึ้นไปอีก 30 % เพื่อเผื่อให้ดินได้เช็คตัวหรือยุบตัวนั้นเอง เช่น จะถมดินสูง 50 ซม แต่ให้ถมดินไว้ที่ระดับ 65 ซม. นั้นเองและควรถมดินไว้ก่อนการสร้างบ้านอย่างน้อย 4-6 เดือนยิ่งทิ้งไว้ผ่านหน้าฝนซักครั้งจะยิ่งทำให้ดินแน่นมากขึ้นทำให้ลดปัญหาดินทรุดหลังสร้างบ้านได้เป็นอย่างดี
3.ทิศทางแดดลมกับการวางตำแหน่งบ้าน
หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไอ้เรื่องพวกนี้มันจะสำคัญอะไรมากมายนักจะปลูกบ้านตรงไหนมันก็มีลมทั้งนั้นแหละและที่สำคัญเราก็เปิดแอร์ทั้งวันอยู่แล้วไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล ทำไมต้องดูทิศทางแดด-ลม ก่อนการวางตำแหน่งบ้านก็เพราะว่าเราคงไม่อยากนอนในห้องนอนที่แสนจะร้อนในตอนกลางคืนหรือต้องอุดอู้อึดอัดอยู่ในบ้านที่ไม่มีลมระบายเลย เรื่องพวกนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน มีข้อสังเกตหลายอย่างในการวางตำแหน่งบ้านเพื่อให้บ้านทั้งหลังเป็นบ้านที่อยู่อย่างสบายมีความสุขและประหยัดพลังงาน ปกติแสงแดดของบ้านเราจะวิ่งเป็นแนวตะวันออกแล้วอ้อมโค้งไปทางใต้ก่อนจะตกในทิศตะวันตก จะทำให้ทิศใต้ไปจนถึงทิศตะวันตกได้รับแสงมากที่สุดของวันคือตั้งแต่หลังเที่ยงไปจนถึงห้าโมงเย็น ด้านนี้จึงควรเป็นส่วนหลังบ้านและส่วนซักล้างหรือกิจกรรมอื่นที่ต้องการแสงจำนวนมากๆ ส่วนทางทิศตะวันออกจะได้รับแสงอ่อนๆในตอนเช้าและแสงจะแรงมากเพียงแค่ช่วง 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงซึ่งก็เพียงแค่ 3 ชม ยิ่งทิศเหนือแล้วยิ่งได้รับแดดน้อยที่สุด 2 ด้านนี้จึงเหมาจะวางตำแหน่งของห้องพักผ่อนที่ต้องการแสงรบกวนน้อย เช่น ห้องนอนและห้องนั่งเล่น เรานิยมวางแนวด้านแคบของตัวบ้านหันไปทางทิศทางรับแดด เพื่อให้ผนังที่รับแดดมีน้อยที่สุด ทำให้ผนังสามารถดูดกลืนความร้อนในปริมาณน้อยและทำให้ภายในบ้านไม่ร้อนจนเกินไปในเวลากลางคืน เพราะธรรมชาติของผนังปูนนั้นจะดูดความร้อนเมื่อแดดส่องและจะถ่ายเทความร้อนออกมาในเวลากลางคืน ฉะนั้นถ้าผนังบ้านถูกแดดตะวันตกน้อยก็จะทำให้ความร้อนที่จะถ่ายออกมาเวลากลางคืนมีน้อยเช่นกัน ส่วนลมนั้นลมประจำฤดูของบ้านเราจะพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะพัดพาลมหนาวจากจีนมาในช่วงหน้าหนาว และ จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่จะพัดพาความชุ่มชื้นจากทะเลมาในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน บ้านที่ดีด้านยาวของบ้านจึงควรหันเข้าหาทิศทางลมเพื่อให้ลมธรรมชาติพัดเข้าตัวบ้านเพื่อระบายความร้อนออกไปให้ได้มากที่สุดและส่งผลให้ประหยัดค่าไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน เป็นต้น
หากเราไม่สามารถกำหนดทิศทางการตั้งตัวบ้านได้อย่างเหมาะสมก็สามารถแก้ได้โดยการปรับสภาพแวดล้อมให้สภาพแวดล้อมช่วยลดความร้อนของบ้านแทนเช่นการปลูกต้นไม้เพื่อบังทิศทางแดด เป็นต้น
4.รูปแบบและราคาประเมินการก่อสร้างบ้าน
รูปแบบบ้านมีหลากหลายแบบให้เลือกตามรสนิยมและความชอบส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย ตั้งแต่รูปแบบที่มีความซับซ้อนมากอย่างแบบ บ้านเรือนไทยของเราเองที่มีความซับซ้อนทั้งรูปแบบและขั้นตอนในการก่อสร้างที่ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญสูงมาก หรือแบบเรียบง่ายสมัยใหม่แบบ Modern Style ที่ไม่ได้มีความซับซ้อนมากนักแต่เน้นความเนียบเป็นหลัก เรื่องกระบวนการก่อสร้างนี้แหละที่ทำให้บ้านแต่ละรูปแบบบ้านราคาค่าตัวที่แตกต่างกันออกไป
แบบบ้านเรือนไทย มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนต้องการงบประมาณในการก่อสร้างและช่างฝีมือที่มีความชำนาญสูง แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากเดี๋ยวนี้ก็มีเรือนไทยสำเร็จรูปขาย
แบบบ้าน Modern เป็นแบบที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในปัจจุบัน หาช่างทำง่ายและควบคุมงบประมาณได้จากการเลือกใช้วัสดุและความซับซ้อนของอาคาร
แบบบ้าน Resort อันนี้ก็กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นรูปแบบที่ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะกว่าแบบ Modern style แต่ก็ไม่ยุ่งยากถึงขนาด เรือนไทย บ้านแนวนี้มักจะสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศตามสถานที่ท่องเที่ยวหรือนอกเมืองเป็นส่วนใหญ่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างยังมีรูปแบบบ้านอีกหลากหลายให้ได้เลือกเพื่อให้ออกมาตรงความต้องการของเรามากที่สุด
เพราะฉะนั้นการที่เจ้าของคิดจะสร้างบ้านในฝันสักหลังนั้นจะเลือกเพียงรูปแบบที่ชอบอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงราคาของการสร้างบ้านแต่ละรูปแบบด้วย เพราะยิ่งบ้านมีรูปแบบที่ซับซ้อนก็จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัวทั้งค่าของและค่าแรง (ที่มักแพงกว่าราคาค่าแรงขั้นต่ำในกรณีที่เป็นช่างฝีมือ) เพราะฉะนั้นในขั้นตอนการออกแบบควรกำหนดงบประมาณเคร่าๆให้สถาปนิกทราบเพื่อจะได้ให้คำปรึกษาที่เหมาะสมกับความต้องการของเจ้าของได้โดยง่ายและไม่ปวดใจในภายหลังเพราะงบที่บานปลายเพราะเค้าเหล่านั้นสามารถผสมผสานรูปแบบที่เจ้าของบ้านต้องการให้เหมาะสมกับงบประมาณก่อสร้างได้
5.ความต้องการพื้นฐานของเจ้าของบ้าน
การที่เราจะสร้างบ้านซักหลังนั้นเราจำเป็นต้องรู้ซะก่อนว่าเราต้องการอะไร บ้านหลังใหญ่แค่ไหนอยู่กันกี่คน มีผู้สูงอายุไหม ต้องการรูปแบบบ้านแบบไหน มีรถยนต์กี่คัน ต้องการห้องนั่งเล่นใหญ่ๆ หรือต้องการห้องน้ำแบบใหญ่โตโอลานหรือไม่ ทั้งหมดนั้นเราเรียกว่าความต้องการพื้นฐานในการออกแบบบ้าน เราต้องตอบตัวเองกับเรื่องเหล่านี้ให้ได้ก่อนจึงจะสามารถให้ผู้ออกแบบสร้างบ้านในฝันออกมาตามความต้องการเราได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องอาจทำเป็นเช็คลิสต์ง่ายๆ ไปเดินดูบ้านตัวอย่างตามโครงการก็ได้ ชอบอะไรก็จดไว้ไม่ต้องรีบเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆแล้วค่อยๆสรุปออกมาเป็นข้อๆให้ผู้ออกแบบในขั้นตอนการออกแบบเบื้องต้น
6.การวางตำแหน่งห้องต่างๆ
เคยสงสัยกันไหมครับ ว่าทำไมเข้าบ้านต้องเจอห้องรับแขกก่อนทำไมไม่เข้ามาแล้วเจอห้องนอนเลยนะมันคงดี แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะโดนใครต่อใครประณามได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ถ้าเราทำแบบนั้นกับคอนโดกลับมองว่ามันก็ปกติก็ห้องมันมีพื้นที่จำกัดนี้สำหรับบ้านแล้วเราควรเข้าบ้านมาเจอห้องโถงหรือห้องรับแขกก่อนแล้วจึงแยกออกไปเป็นห้องนอนห้องอาหาร และครัวรวมถึงห้องน้ำที่ต้องเข้าถึงง่ายแต่มิดชิด
การวางผังบ้านแบบนี้เราจะเรียกว่าการจัดโซนนิ่งบ้านโดยเราจะแบ่งเป็น
-ส่วนสาธารณะ เช่น โถงทางเข้า ห้องรับแขก ห้องทานอาหาร เป็นต้น ห้องเหล่านี้ทุกคนในบ้านรวมทั้งแขกที่มาบ้านจะสามารถเข้าถึงได้เหมือนๆกัน
-ส่วนกึ่งสาธารณะ เช่น ห้องคาราโอเกะ ห้องนั่งเล่น ห้องพระ เป็นต้น ห้องเหล่านี้ทุกคนในบ้านเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงได้
-ส่วนที่เป็นส่วนตัว เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน เป็นต้น ห้องเหล่านี้มีเพียงเจ้าของห้องและสมาชิกบางคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงได้เพราะมีความเป็นส่วนตัวสูง
ดังนั้นการวางผังห้องต่างๆเราควรวาง ห้องในส่วนสาธารณะไว้ด้านหน้าก่อนเสมอและจึงแยกออกไปเป็น ส่วนกึ่งสาธารณะ และ ส่วนตัว ต่อไปเพื่อให้การใช้สอยในบ้านเป็นสัดส่วนและดูแลด้านความปลอดภัยได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
7.ทิศทางการวางบันได
ถ้ามองเรื่องนี้ในแง่ของฮวงจุ้ย เค้าก็จะบอกว่าอย่าหันบันไดบ้านไปทางทิศตะวันตกเพราะเป็นทิศที่เกี่ยวกับคนตายและสิ่งอัปมงคลทั้งหลายทั้งปวงใครขืนหันบันไดไปทางนี้เอาว่าไม่ซวยอย่างไดก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าว่ากันตามหลักการออกแบบแล้วก็ไม่แนะนำให้หันบันไดไปทางทิศตะวันตกเช่นกันเนื่องจากทิศตะวันตกเป็นทิศที่มีแสงบ่ายค่อนข้างแรงอาจทำให้การใช้งานบันไดที่มีแสงบ่ายส่องตาอาจทำให้เจ้าของบ้านแสบตาจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้นั้นเอง แต่ถ้าจำเป็นต้องวางก็ไม่ควรให้ผนังด้านที่บันไดมุ่งไปหานั้นมีแสงส่องผ่านมาได้โดยอาจเปลี่ยนเป็นการนำแสงธรรมชาติลงมาจากด้านบนเพดานแทนก็ได้
8.ความสูงลูกตั้ง ลูกนอนและจำนวนขั้นบันได
เรื่องของความสูงของลูกตั้งลูกนอนบันไดนั้นมีข้อกำหนดอยู่แล้วในกฎกระทรวงฉบับที่55 ผู้ออกแบบทุกท่านทราบเป็นอย่างดี คือลูกตั้งไม่ควรสูงเกิน 20 ซม และกว้างไม่น้อยกว่า 22 ซม.ตัวเลขดังกล่าวใช้สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป ซึ่งเป็นความสูงและความกว้างที่ผ่านการศึกษามาแล้วว่าเหมาะสมที่สุด ส่วนจำนวนขั้นบันไดนั้นไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้ แต่ตามความเชื่อของคนไทยคือ บันไดต้องจบที่เลข คี่ เนื่องจาก เลขคี่เป็นเลขของคนเป็นส่วนเลขคู่นั้นถือว่าเป็นเลขของคนตายนั้นเองแต่ในความเป็นจริงควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งมากกว่า
9.ความสูงของเพดาล
จะเผื่อความสูงฝ้าเพดานไว้เท่าไหร่ดีโดยปกติความสูงฝ้าโดยทั้งไป (วัดจากระดับพื้นถึงท้องฝ้า)ควรจะสูงไม่น้อยกว่า 2.40 ม. ซึ่งเป็นความสูงที่กำลังสบายไม่อึดอัดหรือรู้สึกโดนกดและประหยัดด้วย เอ๊ะ!ยังไง.....มันประหยัดยังไงกัน คำตอบก็คือปัจจุบันวัสดุกรุผนังส่วนใหญ่จะทำออกมาที่ตัวเลขรวมได้ 2.40 พอดีเช่น กระเบื้องขนาด 30ซม x 30ซม หากปู 8 แถวก็จะได้ความสูง 2.40 พอดี เพราะถ้าเราปูแค่ 7 แถวก็จะได้ความสูงฝ้าแค่ 2.10 ม.ซึ่งเป็นระดับฝ้าที่เตี้ยเกินไปนั้นเอง และยังทำให้กระเบื้องไม่เหลือเศษทิ้งให้เสียของ หากต้องกรุในปริมาณมากๆก็ช่วยลดงบในการซื้อวัสดุกรุผนังลงได้อีกเยอะ เป็นต้น
10.ทิศทางการเปิดประตูภายในบ้าน
ทิศทางการเปิดประตูภายในบ้านอะไรนะเรื่องแบบนี้ก็ต้องมีหลักการด้วยเหรอมันจะเวอร์ไปไหม ตอบได้ครับว่ามันสำคัญมากเพราะถ้าเราติดตั้งประตูผิดทางอาจทำให้น้ำท่วมบ้านกันได้เริ่มกันจากประตูหน้าบ้าน ประตูหน้าบ้านด้านที่จะต้องโดนแดดโดนฝนหรือฝนสาด จะต้องเปิดออกนอกบ้านเท่านั้นเพราะการเปิดออกจะบังคับให้บังใบของวงกบประตูเป็นตัวกันน้ำที่จะเข้าบ้านไปโดยปริยายและควรลดระดับพื้นที่ขอบล่างของประตูลงซัก 1ซม.เพื่อกันน้ำย้อนเข้าบ้านนั้นเองและที่สำคัญคือประตูหน้าบ้านควรกว้างอย่างน้อย 90ซม. เพื่อเผื่อไว้สำหรับตอนขนของชิ้นใหญ่ๆเข้าบ้านยิ่งเป็นประตูเปิดคู่ยิ่งดีเลย
ประตูห้องน้ำ
ในที่นี้จะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
1.กรณีห้องน้ำลดระดับและไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนเปียกและส่วนแห้งให้เปิดประตูเข้าด้านในเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำจากการชำระล้างกระเซ็นออกมาด้านนอกห้องได้ (หลักการเดียวกับประตูทางเข้า)
2.ในกรณีที่ห้องน้ำแบ่งเป็นส่วนแห้งกับส่วนเปียกออกจากกันอย่างชัดเจน อันนี้แล้วแต่ชอบเลยครับ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำอีกต่อไปนั้นเอง นอกจากนั้นประตูที่เหลือนั้นจะเปิดไปทางทิศทางได้จะเปิดเข้าห้องหรือออกจากห้องก็ได้ทั้งนั้น
9.การป้องกันอุบัติเหตุ
การป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน
การป้องกันอุบัติเหตุในบ้านหรือที่พักอาศัยไม่ว่าจะเป็นตึกแถว แฟลต อาคารชุดต่างๆ
สิ่งสำคัญก็คือการที่ทุกคนตระหนักถึงอันตราย ทราบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุและมีความปรารถนาความเต็มใจในการที่จะป้องกันหรือความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลงซึ่งวิธีการป้องกันอุบัติเหตุในบ้านอาจกระทำได้ดังต่อไปนี้
1.การป้องกันในด้านบุคคล
2.การป้องกันในด้านสิ่งแวดล้อม
1.การป้องกันในด้านบุคคล
การป้องกันอุบัติเหตุในด้านบุคคลสามารถกระทำได้ดังนี้
1.การศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับอันตราย สาเหตุ และการป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน
2.การรักษาสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หากสภาพร่างกายบกพร่องก็ควรรีบแก้ไข เช่น สายตาสั้น หูพิการ เป็นต้น
3.การทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ หากเจ็บป่วยหรือไม่สบายใจ ควรหยุดพักไม่ควรทำกิจกรรมใดๆภายในบ้าน
4.การระมัดระวังในการทำงาน มีสติและทำงานด้วยความตั้งใจจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้
5.การฝึกอบรมหรือให้ความรู้ในการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในบ้าน ได้แก่ สมาชิกทุกคนในบ้านโดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ
2.การป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม
การป้องกันอุบัติเหตุในบ้านในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถกระทำได้ดังนี้
1.การออกแบบบ้าน เครื่องใช้ภายในบ้านและการก่อสร้างควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ บ้านไม่ควรสร้างติดถนนใหญ่ ประตูทางเข้าไม่ควรมีมุมอับหรือมีต้นไม้ใหญ่ใกล้ตัวอาคาร ควรออกแบบบ้านให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ การก่อสร้างจะต้องถูกต้องตามกฎเกณฑ์ทางด้านวิศวกรรม รวมทั้งใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความแข็งแรง คงทน สวยงามและไม่เป็นเชื้อเพลิงได้ง่าย
2.การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการออกแบบบ้านที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย กฎหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้าน กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้าน กฎหมายเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เพื่อความปลอกภัย เป็นต้น ทั้งนี้จะต้องให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามกำหมายอย่างเคร่งครัดและมีบทลงโทษเมื่อกระทำผิดกฎหมายด้วย
3.การจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแยกเป็นหมวดหมู่ และแยกเป็นสัดส่วนโดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ที่แหลมคมเป็นอันตรายควรให้พ้นมือเด็ก
4.การดูแลบำรุงรักษาบ้าน บริเวณบ้านและสนามหญ้าให้สะอาดถูกสุขลักษณะไม่สกปกรกรุงรังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคและที่อยู่อาศัยของสัตว์และไม่เป็นหลุมบ่อ
5.การสำรวจความปลอดภัยที่บ้าน ควรจัดทำแบบสำรวจความปลอดภัยที่บ้านเพื่อเป็นการตรวจสภาพแวดล้อมภายในบ้าน บริเวณบ้าน ห้องต่างๆและเครื่องมือเครื่องใช้ หากพบว่าอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัยหรือมีการชำรุดทรุดโทรมก็จะได้แก้ไขหรือซ่อมแซมเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
การส่งเสริมสวัสดิภาพในบ้าน
การส่งเสริมสวัสดิภาพในบ้านสามารถกระทำได้ในรูปของการจัดโครงการต่างๆดังนี้
1.การจัดโครงการสวัสดิภาพในบ้าน ซึ่งได้แก่ การจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย การจัดบริการความปลอดภัยภายในบ้านและการจัดให้มีการให้ความรู้เรื่องสวัสดิศึกษาหรือความปลอดภัยภายในบ้าน
2.การจัดโครงการอบรมกลุ่มแม่บ้าน พ่อบ้าน พี่เลี้ยงเด็กในเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน 3.การจัดโครงการอบรมอาสาสมัครป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน เมื่อจบการอบรมแล้วให้อาสาสมัครเหล่านี้ไปแนะนำหรือให้ความปลอดภัยหรือการป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้านแก่ประชาชนตามบ้านหรือชุมชน
4.การจัดโครงการเผยแพร่ความรู้ด้านสวัสดิภาพในบ้าน โดยจัดทำเอกสาร แผ่นปลิว หนังสือ วีดีทัศน์เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ นอกจากนั้นยังอาจเผยแพร่โดยการจัดนิทรรศการตามศูนย์การค้าหรือสถานที่พักผ่อนต่างๆได้
สวัสดิภาพในการประกอบอาชีพ
การประกอบอาชีพทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การบริการ การคมนาคม/ขนส่ง การประกอบธุรกิจ หรืออาชีพอื่นใด ผู้ประกอบอาชีพย่อมมีโอกาสประสบอันตราย หรือเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้เสมอ ทำให้เกิดการเจ็บป่วย พิการ ทุกข์ทรมาน ร่างกายและจิตใจ เสื่อมโทรมลงหรือเสียชีวิตได้ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อย่างไรก็ตามโรคและอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่คนเราสามารถป้องกันหรือลดอันตรายให้น้อยลงได้ ทั้งนี้เพื่อสุขภาพและสวัสดิภาพอันเป็นสิ่งพึงปรารถนาของผู้ประกอบอาชีพ
งานอาชีวอนามัยหรืองานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบอาชีพทุกประเภทจึงมีความสำคัญ และจำเป็นที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันอุบัติเหตุและโรคอันเนื่องมาจาการประกอบอาชีพทำให้ผู้ประกอบอาชีพ มีสุขภาพดี สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตในการทำงานและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติสืบต่อไป
จำนวนการใช้สารเคมีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้นย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาการเจ็บป่วย จากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ปัญหาโรคจากการประกอบอาชีพโดยเฉพาะอาชีพอุตสาหกรรม และปัญหา การประสบอันตรายหรืออุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพ จากรายงานของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน ปี พ.ศ.2535 จำนวนผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินทดแทนจำนวน 131,800 คน ซึ่งแยกตามความร้ายแรงได้ดังนี้
- หากแยกตามพื้นที่ พบว่าส่วนใหญ่ผู้ประสอบอันตรายจะอยู่ในเขต 5 จังหวัด รอบๆ กรุงเทพ (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) ร้อยละ42 กรุงเทพมหานคร
ร้อยละ34 ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ราวร้อยละ3 ภาคใต้ร้อยละ5 และภาคกลางร้อยละ13
สำหรับจำนวนการป่วยและตายด้วยโรคจาการประกอบอาชีพนั้น พบว่าในช่วงปี พ.ศ.2525-2535 ผู้ที่แพ้พิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีจำนวนป่วยและตายสูงสุด
จะเห็นได้ว่า อาชีพเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเป็นอาชีพหลักสำคัญที่ผู้ประกอบอาชีพมักประสบอันตราย ดังนั้นทุกคนจึงควรศึกษาเกี่ยวกับสวัสดิภาพในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ ทราบถึงปัญหา สาเหตุและแนวทางป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
1.สวัสดิภาพในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ปัจจุบันเกษตรกรทั้งหลาย มีความต้องการในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรสูงขึ้นและเนื่องจากคุณภาพของดินเสื่อมโทรมลง เกษตรกรจึงได้นำเอาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์มาใช้กันอย่างไม่จำกัด ทั้งในแง่ของประเภทสารเคมีและวิธีการใช้สารเคมีหลายชนิดผสมกันเพื่อหวังให้เกิดประสิทธิภาพและจำนวนผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่างๆจะเริ่มลดลงแต่ยังคงมีปริมาณที่มากอยู่ นอกจากนี้เกษตรกรทั้งหลายยังนำเทคโนโลยีหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ นำเครื่องจักรกลและเครื่องทุ่นแรงชนิดแปลกใหม่หลายอย่างเข้ามาใช้ในทางเกษตรกรรมแต่ขณะเดียวกัน เกษตรกรก็ยังขาดความรู้เกี่ยวกับปริมาณการใช้และวิธีการใช้สารเคมีที่ถูกต้องจึงทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของเกษตรกรและครอบครัว ส่วนสารเคมีต่างๆที่เกษตรกรใช้ก็จะตกค้างในอาหาร เช่น พืช ผัก ผลไม้ และทำให้เกิดมลพิษทางน้ำและอากาศด้วยจึงเป็นอันตรายต่อประชาชนโดยส่วนรวมสำหรับประชาชนโดยส่วนรวม สำหรับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆหรือเครื่องทุ่นแรงทั้งหลาย หากเกษตรกรขาดความรู้ ความชำนาญในการใช้ที่ถูกต้องและไม่รู้จักระมัดระวังให้ปลอดภัยย่อมจะก่อให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้เช่นเดียวกัน
ลักษณะอุบัติเหตุและอันตรายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม อาจประสบอันตรายทั้งต่อสุขภาพทั้งต่อสุขภาพและสวัสดิภาพได้ ดังนี้
1.อันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมส่วนใหญ่จะได้รับอันตรายจากสารเคมีและฝุ่นละอองต่างๆ ปัจจุบัน เกษตรกรใช้สารเคมีกำจัดแมลงและกำจัดศัตรูพืชกันมาก โดยเฉพาะสารเคมีกำจัดแมลง ประเภทออร์กาโนฟอสเฟต เช่น ฟอสดริน พาราไธออน มาลาไธออน ฯลฯ และสารเคมีประเภทคาร์บาเมต เช่น เซพริน แลนเนต ฟูราแดน เทมมิค เป็นต้น ซึ่งสารเคมีต่างๆ เมื่อเข้าสู่ร่างกายทั้งทางปาก ลมหายใจและผิวหนังจะทำให้เกิดอันตราต่อร่างกาย ดังนี้
1.อาการระคายเคืองที่ตา น้ำตาไหล ตาแดง ตาพร่ามัว
2.น้ำมูก น้ำตาไหล คล้ายเป็นไขหวัด
3.อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ อาเจียน หมดสติ หรืออาจเสียชีวิตได้
4.ระคายเคืองที่ผิวหนัง ผิวหนังเป็นผื่น มีอาการแพ้ ปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ กลายเป็นโรคผิวหนังได้
5.อาการชาตามมือเท้าอาจเป็นอัมพาตได้
6.ชักกระตุกที่กล้ามเนื้อซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
7.การสะสมของสารเคมีป้องกันศัตรูพืช ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการแบ่งตัว และการเจริญเติบโตของเซล เกิดเป็นเซลมะเร็งขึ้น
8.ฝุ่นละอองจากฟางข้าว ผ้ายและชานอ้อยจะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ เกิดเยื่อพังผืดที่ปอด ปอดอักเสบหรือพิการ กลายเป็นมะเร็งและเป็นโรคต่างๆ เกี่ยวกับปอดได้ เช่น โรคปอดชานอ้อย โรคปอดชาวนา เป็นต้น
2.อันตรายต่อสวัสดิภาพ
อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้จาการประกอบอาชีพเกษตรกรรมดังนี้
1.การถูกเครื่องมือ เครื่องจักรที่แหลมคมทิ่มแทงหรือหล่นทับ
2.การพลัดตกหกล้ม เช่น การตกจากที่สูง การตกจากรถแทรกเตอร์
3.การถูกใบพัดและสายพานเครื่องยนต์ ถูกไฟฟ้าดูด
4.การถูกไฟป่า ถูกฟ้าผ่า หรือพายุพัด
สาเหตุของการเกิดอันตรายจากอาชีพเกษตรกรรม
อันตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอาจเกิดจากสาเหตุสำคัญดังนี้
1.คน
2.สิ่งแวดล้อม
1.คน
คนนับว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุจาการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ สาเหตุสำคัญมีดังนี้
1.สภาพร่างกายที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง เจ็บป่วย หรือมีอาการอ่อนเพลียขณะปฏิบัติงานย่อมก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
2.สภาพจิตใจที่ไม่เป็นปกติ มีความวิตกกังวล กระวนกระวาย หรือใจร้อนจนเกินไปก็ทำให้เกิดการผิดพลาดได้
3.การขาดความรู้ความชำนาญ หรือไม่มีประสบการณ์ในการใช้สารเคมี ใช้เครื่องจักรกล เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ย่อมก่อให้เกิดอันตรายหรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
4.การมีสวัสดินิสัยที่ไม่ดีในเรื่องการทำงาน มีความประมาท เลินเล่อ ขาดการระมัดระวัง เอาใจใส่ในการทำงาน ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน
2.สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมที่สำคัญเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีดังนี้
1.สารเคมีและเคมีภัณฑ์ต่างๆ เช่น สารฆ่าแมลง สารเคมีกำจัดวัชพืช ฯลฯ ซึ่งอาจใช้ไม่ถูกวิธี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือขาดความระมัดระวังในการใช้ย่อมเกิดอันตรายได้เสมอ
2.ฝุ่นละอองต่างๆ เช่น ฝุ่นฝางข้าว ฝุ่นฝ้าย ฝุ่นจากชานอ้อย เป็นต้น หากผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ขาดความระมัดระวังหรือไม่ใช้ผ้ากันฝุ่นปิดปากและจมูกก็ต้องสูดดมและทำให้ปอดเกิดอันตรายได้
3.เชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ปรสิต ริคเกตเซีย เป็นต้น ทำให้เกิดโรค เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โดยเชื้อเข้าทางบาดแผลของคนที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ ของสัตว์ที่เป็นโรค โรคจากเชื้อบาดทะยักที่เข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เป็นต้น
4.เครื่องมือและเครื่องจักรกล เช่น จอบ เสียม มีด คราด ขวาน รถไถนา เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร หรือเครื่องทุ่นแรงต่างๆ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ เนื่องจากผู้ใช้ ขาดการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีหรือขาดความระมัดระวังในการใช้ ไม่มีทักษะในการใช้เครื่องมือต่างๆย่อมเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
5.สัตว์และพืชต่างๆ เช่น ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย ถูกพิษจากพืชพวกตำแย หมามุ่ย เห็ด เป็นต้น
6.ภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น พายุ น้ำท่วม ไฟไหม้ป่า ฟ้าผ่า ทำให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้ หากขาดความระมัดระวังหรือไม่ฟังข่าวคราวจากสถานีวิทยุ
การป้องกันอันตรายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
การป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพอาจทำได้ดังนี้
1.ด้านตัวบุคคล
1.1 ควรดุแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ หากเจ็บป่วยไม่ควรทำงาน
1.2 ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอันตรายหรืออุบัติเหตุต่างๆ เพื่อให้รู้จักระมัดระวังอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงาน
1.3 ขณะทำงาน พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส ทำงานด้วยความตั้งใจ ระมัดระวังไม่คิดถึงเรื่องอื่นหรือมีอาการเหม่อลอย
1.4 ควรทำงานตามความสามารถของตน ไม่หักโหมและไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ยาม้า เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เป็นต้น
1.5 ปฏิบัติตามคำแนะนำหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน
1.6 ระมัดระวังในการใช้สารเคมี เครื่องมือ เครื่องจักร ก่อนและหลังการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือ ควรทำความสะอาดและจัดเก็บอย่างเรียบร้อย
2.ด้านสิ่งแวดล้อม
2.1 การป้องกันด้านสารเคมี
2.1.1 ศึกษาหรืออ่านฉลากบนขวดสารเคมีให้เข้าใจถ่องแท้ ถูกต้องก่อนการใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
2.1.2 ผู้จะใช้สารเคมีฉีดพ่น ควรแต่งกายให้เหมาะสม สวมหมวก เสื้อแขนยาวปิดมิดชิด สวมหน้ากาก ถุงมือยาง รองเท้าหุ้มส้นและหลังจากฉีดพ่นสารเคมีเสร็จแล้วจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที นำชุดเสื้อผ้า ถุงมือ ซักน้ำหลายครั้งและอาบน้ำทันที
2.1.3 รู้จักเลือกใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ให้ถูกต้องเหมาะสมและถูกชนิด ไม่ควรใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น สารฆ่าแมลงชนิดปากกัด พวกตั๊กแตน มด ก็ไม่นำไปใช้กับแมลงชนิดปากดูด พวก ยุง แมลงวัน
2.1.4 ในการใช้สารเคมี ควรใช้ตามสัดส่วนที่ระบุ ห้ามใช้ปากเปิดขวดสารเคมี เวลาแก้หีบห่อหรือเปิดภาชนะบรรจุยาก็ต้องระวังอย่าให้แตกหักหรือปลิวฟุ้งกระจาย เมื่อผสมสารเคมีก็ไม่ควรใช้มือกวนหรือสัมผัสสารเคมีให้ใช้เศษไม้กวนและระมัดระวังอย่างให้สารเคมีหกรดผิวหนัง โดยเฉพาะตาและปากหรือเสื้อผ้าเครื่องใช้ หากหกรดให้รีบล้างน้ำและฟอกสบู่ทันทีและอาบน้ำ พร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย
2.1.5 ขณะฉีดพ่นสารเคมี ต้องอยู่เหนือผมและใช้เวลาฉีดพ่นไม่เกิน 4-5 ชั่วโมง หากมีลมแรงควรหยุดฉีด ควรระมัดระวังไม่หายใจเอาละอองหรือไอและอย่างให้ละอองยาปลิวลงที่พักอาศัย บ่อน้ำ หรือภาชนะบรรจุน้ำหรืออาหาร รวมทั้งไม่ฉีดพ่นยาบริเวณที่มีเด็กและไม่รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือสูบบุหรี่ในขณะฉีดพ่นสารเคมี
2.1.6 เมื่อฉีดพ่นยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรล้างมือและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
2.1.7 ควรเก็บสารเคมีให้เป็นที่เป็นทางมิดชิด ห่างไกลมือเด็ก และไม่เก็บไว้ใกล้อาหาร และภาชนะใส่อาหารต่างๆ
2.1.8 ภาชนะบรรจุสารเคมี ห้ามนำไปล้างในสระน้ำ คลอง บ่อ หรือธารน้ำสาธารณะ เมื่อใช้หมดแล้ว ควรนำไปทำลายโดยการฝังดิน ถ้าใช้ไม่หมอให้เก็บให้ดีปิดป้ายบอกให้ชัดเจนอย่าเปลี่ยนภาชนะที่บรรจุ เช่น ขวดน้ำหวาน ขวดนำอัดลม ฯลฯ เพราะอาจเกิดการเข้าใจผิดได้ และไม่ควรนำภาชนะที่บรรจุสารเคมีที่ใช้แล้ว ไปล้างเพื่อเอาไปบรรจุน้ำดื่มและอาหาร
2.1.9 ควรระมัดระวังพาตกค้างในพืชผล โดยไม่บริโภคพืชผลที่พ่นยาไว้ก่อนถึงกำหนด ที่ยาจะสลายตัว เช่น ผลไม้ ไม่ควรเก็บก่อน 30 วัน หลังจากฉีดยา ผักไม่ควรเก็บก่อน 60 วัน หลังจากฉีดยา
2.1.10 การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม หากเป็นไปได้ ควรหาสิ่งทดแทนการใช้สารเคมี หรือยากำจัดศัตรูพืช เช่น ให้กัมมันตภาพรังสี ใช้สารเคมีทำให้แมลงเป็นหมัน การใช้วิธีทางชีววิทยา โดยการทำให้เกิดการทำลายกันเองระหว่างแมลงด้วยกันหรือศัตรูพืช เช่น นำยาฆ่าแมลงไปฆ่าไร กำจัดวัชพืช กำจัดโรคพืช พวกเชื้อรา แบคทีเรีย ยาฆ่าหนู ฆ่าไส้เดือน ฝอย กำจัดหอยทาก
การป้องกันด้านฝุ่นละออง
1.ควรพยายามหลีกเลี่ยง การสูดดมฝุ่นละอองให้มากที่สุด
2.ควรลดเวลาการทำงานที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นละออง เช่น ฝุ่นฝ้าย ฝุ่น ชานอ้อยโดยลดจำนวนเวลาลงและสับเปลี่ยนหมุนเวียนบุคคลในการทำงานเพื่อมิให้ผู้ที่ทำงานต้องสัมผัสกับฝุ่นตลอดเวลา
3.ควรใช้เครื่องป้องกันฝุ่นหรือเครื่องกรองฝุ่น เช่น หน้ากาก ผ้าปิดจมูก หรือปิดจมูกโดยมีแผ่นกรองบางๆ (Filter Pad) ซึ่งจะเป็นตัวจับฝุ่นเอาไว้ไม่ให้เข้าไปกับอากาศที่ผ่านเข้าไป
การป้องกันด้านเครื่องมือเครื่องจักรกล
1.ควรศึกษาวิธีการใช้เครื่องมือเครื่องใช้หรือเครื่องจักรกลและใช้ให้ถูกต้องตามคำแนะนำหรือคู่มือการใช้อย่างเคร่งครัด
2.ควรระมัดระวังในการใช้เครื่องมือเครื่องจักรกล และไม่เข้าไปใกล้เครื่องจักรกลขณะทำงานอยู่ เช่น อย่าเข้าใกล้เครื่องเก็บข้าวโพดขณะที่เครื่องกำลังทำงานอยู่ เป็นต้น
3.ควรพักเครื่องจักรบ้าง หากเครื่องจักรชำรุด ต้องหยุดเครื่องก่อนแก้ไขและคอยดูแลให้เครื่องจักร เครื่องมืออยู่ในสภาพใช้งานได้ดีอยู่เสมอ
4.ผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักรกล ต้องใส่เครื่องป้องกันอันตราย เช่นหมวก แว่นตา เป็นต้น
5.หลังจากใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ แล้วควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย
การป้องกันด้านพืชและสัตว์ที่มีพิษต่างๆ
1.ควรเก็บกวาดที่พักอาศัยไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์แมลงมีพิษ
2.ควรระมัดระวังอย่าเข้าไปใกล้ในที่รกชัน
3.ควรระมัดระวังในการเก็บพืชป่ามารับประทานหรือไม่รับประทานพืชที่มีลักษณะแปลกๆ
การป้องกันด้านภัยธรรมชาติ
1.ควรศึกษาข้อมูล รับฟังข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ ของสภาพดินฟ้าอากาศและข้อแนะนำต่างๆในกรณีที่อาจเกิดพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว
2.ควรหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดอันตราย เช่น ขณะที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าร้อง น้ำท่วม เป็นต้น
3.หาดจะต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วม ควรเตรียมอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรคและเรือแพ (ถ้ามี) และคอยฟังประกาศของทางราชการ
สวัสดิภาพในการประกอบอาชีพอุตสาหกรรม
การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศในปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับซึ่งจะเห็นได้จาก จำนวนโรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการในการเพิ่มผลผลิตด้านเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มของจำนวนประชากรและการที่ประเทศไทยได้พัฒนาเป็นสังคมอุตสาหกรรมใหม่ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุตสาหกรรมให้เจริญก้าวหน้าต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานทั้งทางเศรษฐกิจสังคมและเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม การนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในประเทศไทยจึงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาซึ่งผู้ใช้แรงงานทั่วไปยังขาดความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้และขาดการฝึกอบรมเกี่ยวกับงานในหน้าที่การงานและความปลอดภัยมาก่อนด้วยจึงทำให้ประสบปัญหาด้านสุขภาพและสวัสดิภาพในการประกอบอาชีพทางด้านอุตสาหกรรม
ลักษณะอุบัติเหตุและอันตรายจากการประกอบอาชีพอุตสาหกรรม
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากการประกอบอาชีพอุตสาหกรรมอาจแบ่งออกได้ดังนี้
1.การเจ็บป่วยและ/หรือการเกิดโรคต่างๆ
2.การบาดเจ็บและ/หรือพิการจากอุบัติเหตุ
1.การเจ็บป่วยและ/หรือการเกิดโรคต่างๆ
ผู้ประกอบอาชีพอุตสาหกรรม อาจเกิดการเจ็บป่วยหรือเป็นโรคต่างๆ จากการทำงานที่สัมผัสหรือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพทางเคมีและทางชีววิทยา ซึ่งกล่าวได้ดังนี้
1.การเจ็บป่วยและ/หรือการเกิดโรคต่างๆ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ เสียง ความสั่นสะเทือน ความกดดันบรรยากาศความร้อน ความเย็น แสงสว่าง กัมมันตภาพรังสี รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า
1.1 เสียง ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดยทั่วไป มักจะประสบปัญหาของเสียงที่ดังมาจากแหล่งต่างๆ เช่น เครื่องบด ฟังเฟื่องที่กระทบกับสายพานหมุน เครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า การตี การทุบ การอัด ขบวนการผลิตต่างๆ ในโรงงานทำแล้วทอผ้า ทอกระสอบ หรือทำโลหะซึ่งระดับของเสียงตามมาตรฐานสากลกำหนดให้ไม่เกิน 85 เดซิเบล (เอ) สำหรับผู้ปฏิบัติงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน 90เดซิเบล (เอ) เมื่อทำงาน 4 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนมาตรฐานของไทยซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมนั้นกำหนดให้ระดับความดังของเสียงที่ลูกจ้างได้รับติดต่อกันไม่เกิน 90 เดซิเบล (เอ) ถ้าทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และไม่เกิน 80 เดซิเบล (เอ) ถ้าทำงานเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง
การสัมผัสกับเสียงที่ดังมากเกินไปย่อมทำให้เกิดความสามารถในการได้ยินลดลงเกิดอาการหูอื้อ หูตึงไปชั่วขณะ รบกวนการพูด กลบเสียงสัญญาณต่างๆ ร่างกายเสียงสมดุล เกิดอาการคลื่นไส้ เส้นเลือดตีบ ความดันโลหิตสูง ม่ายตาขยายกว้าง กล้ามเนื้อเกร็งตัว หากได้รับเสียงดังเกินมาตรฐานเป็นเวลาติดต่อกันก็จะทำให้หูพิการอย่างถาวรหรือเกิดการสูญเสียการได้ยินอย่างเฉียบพลัน ทั้งนี้อันตรายจากเสียงจะมากน้อยต่างกันตามความต้านทานต่อระดับเสียงของแต่ละคนความถี่ ความดัง และระยะเวลาในการสัมผัส
1.2 ความสั่นสะเทือน เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำให้เกิดความสั่นสะเทือน เช่น เครื่องตัด เครื่องเจาะ เครื่องเจาะ เครื่องย้ำหมุน สว่าน เครื่องเจาะถนน เครื่องจักรต่างๆ เป็นต้น จะมีอันตรายต่อผู้ใช้หรือเกิดการสั่นสะเทือนตรงจุดสัมผัส เช่น มือ หรืออาจสั่นสะเทือนไปทั่วร่างกายได้ ทั้งนี้อันตรายย่อมขึ้นอยู่กับความถี่ของเครื่องมือที่ใช้ ความเข้มของการสั่นสะเทือน ระยะเวลาที่ได้รับความสั่นสะเทือน ทิศทางในการสั่นของคลื่นและสภาพของบุคคล อันตรายที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความเมื่อยล้า ระคายเคืองที่เนื้อเยื่อ ตาพร่ามัว การมองเห็นการทรงตัวเสียไป เนื้อเยื่ออ่อนของข้อมือ กล้ามเนื้อมืออักเสบ ปวดข้อ ปลายประสาทบริเวณมือเสียไป ทำให้เส้นเลือดตีบ เลือดมาเลี้ยงบริเวณนี้ไม่พอ เกิดอาการที่เรียกว่า “เรย์มาร์ด” (Raynaud’s Phenomenon) หรือโรคมือตาย (Dead Hand) หรือโรคนิ้วซีด (Vibration White Fingers)
1.3 ความกดดันของบรรยากาศ ความกดดันที่ต่ำกว่าปกติ ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และสวัสดิภาพของผู้ที่ทำงานอยู่ในบริเวณนั้นๆ ความกดดันของบรรยากาศที่ผิดปกติจะเป็นความกดดันที่ต่ำหรือสูงกว่าที่ระดับน้ำทะเลปกติ ซึ่งมีค่าประมาณ 760 มิลลิเมตร ของปรอทหรือ 1 บรรยากาศมาตรฐาน ผู้ที่ทำงานบริเวณความกดดันที่ต่ำกว่าปกติ ได้แก่ ผู้ที่ทำงานอยู่ในที่สูงๆ เช่น ภูเขาสูงหรือพนักงานที่ทำงานบนเครื่องบิน เป็นต้น อันตรายที่เกิดขึ้น คือ เกิดฟองแก๊สต่างๆในร่างกายมากขึ้นทำให้เนื้อเยื่อและของเหลวมีการขยายตัว ร่างกายขาดออกซิเจนเกิดอาการอาเจียน ปวดศีรษะ เมื่อยล้า ง่วงนอน กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกันการได้ยินคำผิดปกติทำให้เกิดอาการผิดปกติตรงบริเวณที่ฟองอากาศอุดตัน เช่น เข้าไปอุดตันตามหลอดเลือดของข้อต่อจะมีอาการปวดข้อ ถ้าเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะเกิดอัมพาดและถ้าเข้าไปอุดหลอดเลือดหัวใจจะทำให้เสียชีวิตได้ทันที
สำหรับผู้ที่ทำงานอยู่ในระดับความกดดันที่สูงกว่าปกติ ได้แก่ ผู้ที่ทำงานใต้น้ำ ใต้ทะเล ทำงานในเหมือง ในอุโมงค์ หรือแร่ เป็นต้น ความกดดันที่สูงจะทำให้เกิดความดันที่แตกต่างกันระหว่างภายในและภายนอกร่างกายทำให้เกิดการบีบอัด เจ็บปวด โดยเฉพาะบริเวณหูหากเป็นมากแก้วหูฉีดขาดได้และถ้าลงไปลึกมากๆ จะเกิดแรงบีบและแรงดันสูงทำให้เลือดและของเหลว ถูกดันเข้าไปในทางเดินหายใจและถุงลมเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ในที่ระดับความกดดันบรรยากาศหรือสูงกว่าแก๊สไนโตรเจนในอากาศจะทำให้เกิดอาการง่วงนอนและหมดสติได้และถ้าหาก ฟองไนโตรเจนไปอุดตันเส้นเลือดต่างๆ เช่น อุดตันเส้นเลือดของไขสันหลัง อุดตันเส้นเลือดเล็กๆที่ไปเลี้ยงกระดูกทำให้เป็นอัมพาตได้
1.4 ความร้อน ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม มักประสบปัญหาด้านความร้อนจากขบวนการผลิต ขบวนการทำงาน หรือเครื่องจักรต่างๆมาก เช่น ทำเครื่องแก้ว เครื่องปั้นดินเผา หลอมโลหะ เป็นต้น ซึ่งความร้อนจะทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการทำงานให้เป็นปกติได้ทำให้เกิดอาการเป็นลม อ่อนเพลีย เมื่อยล้า เป็นตะคริว มีอาการชักกระตุกที่กล้ามเนื้อต่างๆ เช่น มือ เท้า หน้าท้อง แผ่นหลังรู้สึกเจ็บปวด กระหายน้ำ ผิวหนังแห้ง อาจมีความผิดปกติของระบบต่อมขับเหงื่อ ทำให้มีผื่นขึ้น เกิดอาการคัน ครั่นเนื้อครั่นตัว การเสียเหงื่อมากจะทำให้เกิดอาการทางสมองและจิตใจ ทำให้เกิดการสับสน การประสานงานของกล้ามเนื้อ เสียไป ชีพจรเต้นเบาและช้า อาจชักถึงตายได้
1.5 ความเย็น ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมห้องเย็น โรงงานทำน้ำแข็ง ทำเบียร์ ทำนมหรือทำงานในที่ที่มีความเย็นจัดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดีหรือหยุดการหมุนเวียนทำให้อวัยวะบางส่วนขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงเกิดอาการชาหมดความรู้สึก หากเป็นมากๆ จะเกิดเนื้อตายและเป็นแผลที่เรียกว่าโรคเนื้อตายจากความเย็นจัด (Frosthite)
1.6 แสงสว่าง แสงสว่างที่มากหรือน้อยเกินไป ย่อมส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของตาซึ่งหากว่าระดับความเข้มของแสงสว่างไม่ได้มาตรฐานก็จะเกิดอันตรายต่อตาเป็นอย่างมาก แสงสว่างที่มากเกิน ความต้องการของตาที่จะใช้มองเห็น เช่น แสงจ้าเกินไป จะทำให้ตาเกิดความไม่สบาย เมื่อยล้า ปวดตา เยื่อบุตาอักเสบ เนื้อส่วนรับภาพของตาอักเสบ กระจกตาดำอักเสบอาจทำให้ตาบอดได้และถ้าแสงสว่าง มีแสงอินฟราเรดหรือแสงอัลตร้าไวโอเลตก็จะทำให้เกิดการมองไม่เห็นชั่วคราว ส่วนแสงสว่างที่น้อยเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานมากเกินไป ม่านตาต้องเปิดกว้าง ต้องเพ่งตามากทำให้ตาเมื่อยล้า ปวดตา มึนศีรษะ กล้ามเนื้อหนังตากระตุก ตาแดง กลัวแสง การมองเห็นเลวลง และอาจมีผลทางด้านจิตใจ
1.7 กัมมันตภาพรังสี เป็นรังสีที่แตกตัวได้ (Ionizing Radiation) เช่น รังสีแอลฟา รังสีเบต้า รังสีแกมม่า รังสีเอ็กซ์ รังสีอัลตร้าไวโอเลต เป็นต้น ผู้ที่ทำงานในโรงงานที่ใช้สารกัมมันตภาพรังสี เช่น โรงงานผลิตเครื่องมืออิเล็คโทรนิคที่มีสารกัมมันตภาพรังสีใช้อยู่ คนงานที่ทำงานกับแร่ที่มีวัสดุกัมมันตภาพรังสีปะปนอยู่ด้วยและผู้ที่ทำงานในเหมืองที่มีสารกัมมันตรังสีที่เป็นแก๊สอยู่ย่อมเสี่ยงอันตรายจากรังสี รังสีแอลฟา รังสีแอลฟา รังสีแอลฟา
รังสีเบต้า
เป็นรังสีที่มีอนุภาคสามารถทำลายเนื้อเยื่อได้
รังสีแกมม่า
รังสีแกมม่าที่ได้จากสารรังสีและรังสีเอ็กซ์มีอำนาจการทะลุทะลวงมากกว่ารังสีแอลฟา และรังสีเบต้าและสามารถทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายได้ ปัจจุบันมีการใช้รังสีแกมม่าและรังสีเอ็กซ์ ตรวจสอบรอยเชื่อมและโครงสร้างส่วนประกอบของโรงงานหรือรอยร้าวร้อยเชื่อมของโลหะต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการนำรังสีแกมม่าไปใช้ฆ่าเชื้อเครื่องมือเวชภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียว
รังสีเอ็กซ์
สามารถใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้า อันตรายจะเกิดขึ้นหากรังสีรั่วไหลออกจากเครื่องมือและออกสู่บรรยากาศ เมื่อสัมผัสร่างกายทางผิวหนังในจำนวนมากจะเกิดโรคผิวหนังที่มือ ผิวหนังจะแห้ง หยาบ คล้ายเป็นหูด เล็บหักง่าย เมื่อสัมผัสนานๆ จะทำลายกระดูก
รังสีอัลตร้าไวโอเลต
รังสีอัลตร้าไวโอเลตซึ่งได้จากแสงอาทิตย์และใช้ในอุตสาหกรรมการเชื่อมด้วยไฟฟ้าแบบใช้ฆ่าเชื้อโรค (Germicidal lamp) ไม่ทะลุทะลวงผ่านั้นใต้ผิวหนังทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมมีโอกาสเป็นเนื้องอกตามบริเวณผิวหนังที่ถูกแสงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานในที่สุดอาจกลายเป็นเนื้อร้าย หรือมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังอาจทำอันตรายต่อเลนซ์นัยน์ตาทำให้เป็นต้อหินได้ อันตรายจากรังสีที่เกิดขึ้นมากหรือน้อย ขึ้นกับชนิดของรังสี ปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับรังสี พลังรังสีที่เปล่งออกมา และความไว ของอวัยวะที่มีต่อรังสีนั้นๆ หากได้รับรังสีมากเกินไปหรือได้รับปริมาณรังสีทีละน้อยเป็นเวลานานๆก็จะปรากฏผลให้เห็นเช่นเดียวกัน แต่ต้องใช้เวลาผ่านไปแล้วหลายปีอาการผิดปกติของร่างกายโดยทั่วไป คือผมร่วง ผิวหนังไหม้เกรียมเป็นแผลเรื้อรัง มะเร็งผิวหนัง มะเร็งในเม็ดเลือดขาว มะเร็งปอด มะเร็งกระดูด เป็นต้อกระจก ต้อหิน เป็นหมัน ร่างกายติดเชื้อโรคง่าย
1.8 รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นรังสีที่ไม่มีการแจกตัว (Nonionizing Radiation) ซึ่งมีหลายชนิด เช่น คลื่นความถี่ต่ำ ไมโครเวฟ รังสีอินฟราเรด เลเซอร์ เป็นต้น อันตรายของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นอยู่กับ ความยาวคลื่นของรังสี ความเข้ม และเวลาที่สัมผัสคลื่นความถี่ต่ำ เช่น วิทยุคลื่นสั้น วิทยุกระจายเสียง สามารถแผ่รังสีความร้อนได้แต่มีอันตรายต่อร่างกายน้อยมาก นอกจากรังสีมีความเข้มสูง ส่วนไมโครเวฟ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)